Ribbon

อินฟลูฯ จีนกำกับเข้มงวด ต้องมีใบคุณวุฒิ ไทยเสนอทำร่างอินฟลูฯ

อินฟลูฯ จีนกำกับเข้มงวด ต้องมีใบคุณวุฒิ ไทยเสนอทำร่างอินฟลูฯ

ลองนึกภาพว่าเด็กมัธยมคนหนึ่งเลื่อนดูวิดีโอสั้นบนแพลตฟอร์มโซเชียลยอดนิยม แล้วเจอเนื้อหาที่ชวนให้แข่งกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อเร่งลดน้ำหนักจากอินฟลูเอนเซอร์ที่ผู้มีคนติดตามจำนวนมาก จนตัดสินใจทำตามโดยไม่รู้เท่าทัน ซึ่งท้ายที่สุดเด็กคนนี้อาจต้องมีความเสี่ยงถึงชีวิต เนื้อหาแบบนี้ ยังอาจจะสามารถเรียกว่าเป็นเนื้อหาที่สนุกได้อยู่หรือไม่

แม้ปัจจุบันนี้ มีอินฟลูฯ หลายล้านคนทั่วโลกจะพยายามสร้างสรรค์คอนเทนต์เพื่อดึงดูดผู้ติดตาม แต่อิทธิพลของเนื้อหาอาจไม่ได้หยุดที่ความบันเทิง แต่อาจสร้างความเสี่ยงต่อผู้ชมได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตคอนเทนต์จำนวนไม่น้อยไม่ได้มีความรู้เฉพาะด้าน และอาจยอมแลกยอดวิวกับความเสี่ยงของผู้ติดตามที่ตนไม่รู้จัก หลายประเทศจึงเริ่มวางกติกาใหม่เพื่อคุมความเสี่ยง ขณะที่ประเทศไทยแม้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องแต่ยังกระจัดกระจายและยังขาดกรอบเฉพาะสำหรับเนื้อหาที่กระทบผู้บริโภคโดยตรง

ถึงเวลาสร้างมาตรฐานใหม่ให้พื้นที่ออนไลน์ปลอดภัย

โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคกำลังผลักดันการจัดทำระเบียบจริยธรรมสำหรับอินฟลูฯ คล้ายกับสภาวิชาชีพอื่น ๆ ร่วมมือเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง โดยอาจมีบทลงโทษชัดเจน เช่น การปรับเงินหรือมาตรการอื่น ๆ ทำให้ไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายก่อน รวมถึงเสนอให้มีการนิยามคำว่าอินฟลูฯ อย่างเป็นทางการ ครอบคลุมทั้งผู้ขาย ผู้รีวิว และผู้ให้ความรู้ เพื่อให้สามารถกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้เป้าหมายสำคัญไม่ใช่การปิดกั้นโอกาสของอินฟลูฯ แต่คือการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตของอุตสาหกรรม กับการคุ้มครองผู้บริโภคในสังคมที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างเข้มข้น

อินฟลูฯ ในจีน ถ้าพูดเรื่องจริงจังต้องมีวุฒิ

หากไปประเมินในประเทศต่าง ๆ ในการกำกับดูแลอินฟลูเอนเซอร์ต่างมีแนวทางกำกับดูแลที่เข้มข้นแตกต่างกัน

ประเทศจีนถือเป็นประเทศที่ควบคุมอินฟลูฯ อย่างจริงจังที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในโลก โดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับการเงิน กฎหมาย สุขภาพ หรือการแพทย์ ต้องมีคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องหรือใบอนุญาตวิชาชีพก่อนเผยแพร่ข้อมูล จุดประสงค์คือเพื่อปกป้องประชาชนจากคำแนะนำที่ผิดพลาด ซึ่งเคยก่อความเสียหายในวงกว้างในอดีต

กฎหมายครอบคลุมไปถึงการห้ามโฆษณาอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบแฝง โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่ทำทีว่าเป็นความรู้ แต่สุดท้ายมีผลประโยชน์แอบแฝง รวมถึงบังคับให้แพลตฟอร์มอย่าง โต่วอิน (Douyin) ซึ่งเป็น TikTok เวอร์ชันจีน, เวยป๋อ (Weibo) และ บิลิบิลิ (Bilibili) ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สร้างคอนเทนต์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสำคัญของวงการอินฟลูฯ ในจีน

สำหรับมาตรการดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสทั้งสองด้าน โดยผู้ใช้จำนวนมากมองว่าเป็นการช่วยคัดกรองข้อมูลคุณภาพ ส่วนบางส่วนกังวลว่าอาจจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากเกินไป แต่ภาพรวมสะท้อนความพยายามสร้างมาตรฐานขั้นต่ำสำหรับคอนเทนต์เสี่ยงสูงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคน

เกาหลีใต้คุมผลกระทบเชิงสังคม

เกาหลีใต้ไม่ได้เน้นเฉพาะคุณวุฒิผู้พูดเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงสังคมจากคอนเทนต์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่ก่อความเกลียดชังหรือบ่อนทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ภาครัฐส่งสัญญาณพร้อมใช้มาตรการจำกัดการเข้าประเทศสำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ต่างชาติที่เผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวจากต่างแดน เหตุผลเกิดจากกรณีอื้อฉาวหลายครั้งทำให้สังคมตั้งคำถามกับพรมแดนของความสนุก และความรับผิดชอบของผู้มีอิทธิพลว่าควรอยู่ตรงไหน

แนวทางของเกาหลีใต้จึงสื่อว่าแม้จะไม่มีใบอนุญาตเฉพาะสำหรับทุกหมวด แต่รัฐจะเข้ามาจัดการเมื่อคอนเทนต์เริ่มกระทบความสงบเรียบร้อยหรือความปลอดภัยสาธารณะ โดยประเด็นนี้สำคัญกับไทย เนื่องจากสะท้อนว่าการกำกับดูแลสามารถเริ่มจากผลกระทบที่ชัดเจนต่อสังคมก่อน และขยายไปสู่มาตรฐานวิชาชีพในหมวดเสี่ยงสูงภายหลัง

ช่องว่างการคัดกรองในสหรัฐฯ ทำให้ความเชื่อผิดโตเร็ว

สหรัฐอเมริกายึดเสรีภาพการแสดงออกเป็นหลัก ส่งผลให้มาตรการคัดกรองความจริงบนแพลตฟอร์มบางช่วงผ่อนคลายลง แต่การเมืองที่แบ่งขั้วทำให้สื่อกระแสหลักถูกตั้งแง่ ผู้ชมจำนวนหนึ่งจึงหันไปเชื่ออินฟลูฯ ที่พูดตรงใจ แม้ไม่ได้มีมาตรฐานวิชาชีพ ผลคือความรู้เทียมและทฤษฎีสมคบคิดแพร่ได้เร็วผ่านคลิปสั้นและพอดแคสต์ ระบบแบบนี้ทำให้ภาระตกอยู่ที่ผู้บริโภคต้องมีทักษะคัดกรองเนื้อหาสูงกว่าที่เคย ไม่เช่นนั้นอาจตกเป็นเหยื่อหรือได้รับความเสียหาย

ไทยอยู่ตรงไหน? ท่ามกลางความเสี่ยงที่ไม่คุมอินฟลูฯ

สำหรับประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะกำกับอินฟลูฯ ท่ามกลางคอนเทนต์ที่กระทบผู้บริโภคหลากรูปแบบ งานทำขนมที่เลียนแบบสิ่งของที่กินไม่ได้ถูกตั้งคำถามเรื่องผลต่อเด็กและการเลียนแบบผิดที่ผิดทาง กรณีคอนเทนต์หรือสตรีมมิงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในที่สาธารณะถูกทำซ้ำเพื่อเรียกยอดวิว ขณะที่คอนเทนต์สุขภาพมักเริ่มจากให้ความรู้แล้วไหลไปสู่การขายอาหารเสริมของตนเองโดยไม่มีหลักฐานเพียงพอ ส่วนด้านการเงินยังพบการชวนลงทุนเกินจริงที่ผู้ติดตามจำนวนมากเชื่อและทำตามได้ง่าย เพราะความสนิทกับผู้ชมและการเล่าเรื่องที่น่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ไทยที่มีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แนวทางของหน่วยงานกำกับด้านสุขภาพ และความพยายามยกระดับมาตรฐานสื่อ แต่กติกาเหล่านี้ยังกำหนดไม่ตรงชนิดคอนเทนต์ที่เสี่ยงสูงและถูกบริโภคเร็วบนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น

ช่องว่างนี้เห็นชัดเมื่อเทียบกับอิทธิพลในอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีครีเอเตอร์และอินฟลูฯ ทำเป็นรายได้หลักราว 2 ล้านคน และอีกประมาณ 9 ล้านคนทำเป็นงานเสริม อาชีพนี้เติบโตเฉลี่ย 20 – 30% ต่อปีทั้งในไทยและทั่วโลก ขณะที่ผู้บริโภคชาวเอเชียกว่า 80% มีแนวโน้มซื้อสินค้าตามคำแนะนำของอินฟลูฯ เมื่ออิทธิพลของอินฟลูฯ ขยายตัวรวดเร็วแต่ระบบยืนยันคุณวุฒิ การเปิดเผยผลประโยชน์ และการตรวจสอบแหล่งข้อมูลยังอ่อน ผลกระทบเชิงพฤติกรรมและเศรษฐกิจก็ย่อมขยายใหญ่ตามไปด้วย

5 แนวทางที่ไทยนำมาเป็นต้นแบบคุมอินฟลู

ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยระบุว่า เมื่อคอนเทนต์กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีพลังสูงเช่นนี้ แต่ขาดกติกาควบคุมที่ชัดเจน ผลกระทบต่อผู้บริโภคย่อมเพิ่มขึ้นตามไป โดยเฉพาะเมื่อคอนเทนต์บางประเภทมีความเสี่ยง เช่น ความงมงายทางสุขภาพ การชักชวนลงทุนเกินจริง การพนันแฝง หรือนำเสนอข้อมูลทางศาสนาและความเชื่อที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

ผศ.ดร.เอมผกา ได้ยกตัวอย่างกฎหมายควบคุมอินฟลูฯ จากในหลายประเทศ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับประเทศไทย โดยถูกแบ่งออกเป็น 5 แนวทาง

1. บังคับเปิดเผยว่าเป็นโฆษณา เช่น การใช้แฮชแท็กที่บ่งชัดเจน เหมือนที่ใช้ในเกาหลีใต้ อินเดีย หรือแคนาดา

2. มองอินฟลูฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจ ทำให้สามารถใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมาบังคับได้

3. บังคับเปิดเผยตัวตนอย่างโปร่งใส เช่น กฎหมายในนอร์เวย์ที่ระบุตัวตนจริงในงานโฆษณา

4. ควบคุมเนื้อหาที่มีความเสี่ยงสูง เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ให้จดทะเบียนผู้สร้างคอนเทนต์ด้านสุขภาพหรือการเงิน จากสภาสื่อแห่งชาติ

5. ทำแนวทางหรือข้อแนะนำ สำหรับบางประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะออกกฎหมายรูปแบบไหน โดยทำเป็นคู่มือแนะนำก่อนว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ได้ ให้เรียนรู้ และตระหนักถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหากไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีในปัจจุบัน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง