
คลื่นความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น สะท้อนสิทธิในการเข้าถึงการสื่อสารที่ถูกผูกขาดโดยทุนใหญ่ ทั้งตลาดมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน รัฐไร้คลื่นสำรองในมือ สภาผู้บริโภคระบุ หากไม่มีสิทธิเลือกในสิ่งพื้นฐานของชีวิต นั่นคือการละเมิดสิทธิผู้บริโภค
ช่วงเดือนตุลาคมที่เกิดคลื่นการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยหลายด้าน แต่ทศวรรษผ่านไป คำถามเดิมยังคงอยู่ เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ส่งพลังไปถึงหน่วยงานกำกับดูแลมากเพียงใด ตัวอย่างชัดเจนสะท้อนอยู่ในภาคโทรคมนาคม บริการที่เชื่อมโยงชีวิตคนทั้งประเทศ แต่กลับอยู่ในมือของผู้เล่นไม่กี่ราย รวมถึงเรื่องสิทธิเลือกผู้ให้บริการพื้นฐานอย่างโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ต ที่อยู่ในระบบที่คนบางกลุ่มมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่ หากตลาดใดตลาดหนึ่งถูกผูกขาด ผู้บริโภคไม่มีสิทธิเลือก หรือถูกบังคับให้ยอมรับราคาที่ไม่เป็นธรรม สิทธิขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันก็ถูกลดทอนไปเรื่อย ๆ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น และคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลยังเข้าถึงบริการโทรคมนาคมได้อย่างไม่ครอบคลุม
โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังถูกผูกขาด
ย้อนกลับไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญการควบรวมกิจการในตลาดโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตหลายครั้ง การลดจำนวนผู้ให้บริการรายหลักลงเหลือเพียงไม่กี่รายทำให้การแข่งขันลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตลาดมือถือกลายเป็นตลาดที่มีผู้เล่นหลักเพียงสองราย ขณะที่ตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านหรือไฟเบอร์มักมีลักษณะผูกขาดเชิงพื้นที่ เช่น ในหลายจังหวัด ผู้บริโภคมีเพียงทางเลือกเดียว เพราะผู้ให้บริการรายอื่นไม่เข้ามาลงเสาไฟเบอร์ในพื้นที่นั้น
ตัวอย่างหนึ่งคือ ครอบครัวแม่ค้าขายของออนไลน์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ต้องใช้บริการจากบริษัทเดียวในพื้นที่ เพราะไม่มีรายอื่นให้เลือก แม้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจะล่มบ่อยแต่ก็ไม่สามารถยกเลิกได้ เมื่ออินเทอร์เน็ตล่มติดต่อกันสองสามวัน รายได้ทั้งสัปดาห์ก็หายไป ปัญหานี้อาจไม่เห็นชัดในเมืองใหญ่ แต่สำหรับคนในพื้นที่ห่างไกล คือข้อจำกัดในชีวิตจริงที่ส่งผลต่อรายได้และโอกาส
ทั้งนี้หากไปประเมินในเรื่อง โทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชีวิตยุคใหม่ ตั้งแต่การเรียน การทำงาน การค้า ไปจนถึงการเข้าถึงบริการภาครัฐ การเข้าถึงบริการสื่อสารที่มีคุณภาพจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคโนโลยี แต่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเหมือนกับการที่ “องค์การสหประชาชาติ” หรือยูเอ็น (UN) เคยระบุว่า “การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคือสิทธิเสรีภาพพื้นฐานในยุคดิจิทัล” เพราะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมืองได้
เมื่อรัฐไม่มีคลื่นในมือ ความมั่นคงของประชาชนจึงสั่นคลอน
สำหรับประเทศไทยมีสิ่งที่น่ากังวลอีกเรื่องคือ รัฐไทยไม่มีคลื่นความถี่สำรองในมือ คลื่นทุกย่าน ตั้งแต่ 700, 900, 1800, 2100 จนถึง 2600 MHz อยู่ในการถือครองของเอกชนทั้งหมด หมายความว่า หากเกิดภัยพิบัติหรือระบบสื่อสารของรัฐล่ม รัฐจะต้องขอความร่วมมือจากเอกชนเพื่อใช้งานคลื่นเหล่านี้
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค เคยกล่าวไว้ว่า การที่คลื่นความถี่สำคัญอยู่ในมือของเอกชนเพียงสองราย ย่อมส่งให้เกิดอำนาจเหนือตลาด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูล การทำธุรกรรม และการเรียนรู้พึ่งพาระบบสื่อสารอย่างเข้มข้น ย่อมส่งผลให้กระทบกับความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำพูดนี้สะท้อนความจริงที่น่ากังวลเกี่ยวกับความมั่นคงทางการสื่อสารของรัฐไทยในปัจจุบัน
สิทธิผู้บริโภคคือหัวใจของประชาธิปไตย
คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ถูกตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ เพื่อกำกับและจัดสรรทรัพยากรคลื่นความถี่ ซึ่งเป็นสมบัติของประชาชน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสาธารณะ แต่ในทางปฏิบัติการทำงานของ กสทช. มักถูกตั้งคำถามว่าให้น้ำหนักกับความสะดวกของผู้ประกอบการมากกว่าการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค เช่น การอนุญาตให้ควบรวมกิจการโดยมีเงื่อนไขที่อ่อน ทำให้การแข่งขันในตลาดลดลง และเสี่ยงต่อการผูกขาดมากขึ้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ระบุในมาตรา 46 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของรัฐในทุกเรื่องที่ไม่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” และมาตรา 61 กำหนดว่า “รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม” ทั้งสองมาตรานี้สะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐที่ต้องรับผิดชอบในการประกันสิทธิในการสื่อสารของประชาชนในฐานะสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน แต่ในความเป็นจริง ประชาชนจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพ หรือถูกผูกขาดด้วยสัญญาไม่เป็นธรรม มาตราที่เขียนไว้จึงกลายเป็นเพียงข้อความสวยงามหากไม่มีการกำกับอย่างจริงจัง
แม้รัฐจะมีโครงการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตหมู่บ้าน แต่คุณภาพและความเร็วของสัญญาณในพื้นที่ห่างไกลยังต่ำกว่ามาตรฐานในเมืองใหญ่ เด็กนักเรียนบางพื้นที่ต้องปีนเขาเพื่อจับสัญญาณเรียนออนไลน์ในช่วงโควิด ขณะที่คนในเมืองสามารถใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างราบรื่น ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่เป็นปัญหาโครงสร้างที่ทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่มีโอกาสเท่าเทียมกันในสังคม
สภาผู้บริโภค เห็นว่า ปัญหาการผูกขาดในภาคโทรคมนาคมคือการจำกัดสิทธิผู้บริโภคในการเลือก ซึ่งเป็นรากฐานของประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การคุ้มครองผู้บริโภคในยุคนี้ต้องมองให้ไกลกว่าการรับเรื่องร้องเรียนรายกรณี แต่ต้องผลักดันให้เกิดระบบกำกับดูแลเชิงโครงสร้าง ที่ทำให้ประชาชนมีทางเลือกอย่างแท้จริง มีรัฐที่ถือครองอำนาจในการปกป้องสาธารณะ รวมทั้งย้ำว่า คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของประชาชน ซึ่งต้องมีการกำกับดูแลต้องโปร่งใส มีส่วนร่วม และตั้งอยู่บนหลักผลประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง