สภาผู้บริโภคแจงผลงาน 4 ปี ช่วยเหลือ 6.5 หมื่นคน มูลค่า 633 ล้านบาท

สภาผู้บริโภค แจงผลงาน 4 ปี ช่วยเหลือ 6.5 หมื่นคน มูลค่า 633 ล้านบาท

วันนี้ (29 กรกฎาคม 2568) สภาผู้บริโภค นำโดย บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาผู้บริโภค สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค พร้อมด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสภาผู้บริโภค ได้เข้าแถลงผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2567 ต่อที่ประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่หนึ่ง) เพื่อเน้นย้ำบทบาทและผลประโยชน์ที่ผู้บริโภคได้รับจากการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคตลอดปีที่ผ่านมา พร้อมสร้างระบบที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางโอกาส แม้มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณอยู่บ้าง

ผู้บริโภคเข้าถึงความเป็นธรรมกว่า 6 หมื่นคนใน 4 ปี

บุญยืน กล่าวว่า สภาผู้บริโภคเกิดจากการรวมตัวของ 151 องค์กรผู้บริโภค และได้รับสถานะตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 353 องค์กรใน 58 จังหวัด ขับเคลื่อนภารกิจผ่านหน่วยงานประจำจังหวัด 20 แห่ง และหน่วยงานเขตพื้นที่ 4 เขต โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้บริโภคกว่า 65,000 คนได้รับการช่วยเหลือ มีคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกว่า 280 คดี และสามารถชดเชยเยียวยาความเสียหายให้ผู้บริโภคได้รวมมูลค่ากว่า 633 ล้านบาท

“สิ่งที่ประชาชนได้จากสภาผู้บริโภค คือความหวัง และโอกาสที่จะเข้าถึงความเป็นธรรมในสังคม” บุญยืน ระบุ

ในปี 2567 ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้รับงบประมาณจากรัฐจำนวน 169 ล้านบาท แต่สามารถเจรจาไกล่เกลี่ยข้อร้องเรียนจนคืนสิทธิให้ประชาชนคิดเป็นมูลค่ารวม 252 ล้านบาท ซึ่งแสดงถึงความคุ้มค่าของการดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภค และสะท้อนบทบาทที่สำคัญของสภาผู้บริโภคในฐานะกลไกหลักด้านการคุ้มครองผู้บริโภคของประเทศ

คดีเด่น – นโยบายสำคัญ: ฟ้องกลุ่มซัมซุง-เปิดก่อนจ่าย-เรียนฟรี

ด้าน สารี เปิดเผยว่า ปี 2567 มีการดำเนินคดีเพื่อผู้บริโภคจำนวน 77 คดี คิดเป็นทุนทรัพย์รวม 80 ล้านบาท หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจคือ กรณีกลุ่มผู้บริโภคที่พบปัญหา “หน้าจอเส้นเขียว” บนโทรศัพท์มือถือซัมซุง ซึ่งนำไปสู่การรวมกลุ่มฟ้องและการเยียวยาได้สำเร็จ นับเป็นตัวอย่างของการใช้กลไก คดีแบบกลุ่มเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค

ภารกิจหลักของสภาผู้บริโภคในปีที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การช่วยเหลือผู้บริโภคแบบรายกรณี 2) การดำเนินคดีเพื่อคุ้มครองสิทธิ 3) การผลักดันนโยบายสาธารณะ และ 4) การพัฒนาเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคในระดับจังหวัด โดยมีกรณีคดีเด่นอย่างคดีหน้าจอเส้นเขียวของโทรศัพท์มือถือซัมซุง ซึ่งเป็นคดีแบบกลุ่มที่สามารถผลักดันให้มีการเยียวยาผู้เสียหายได้อย่างมีนัยสำคัญ

ในภาพรวมของปัญหาที่ประชาชนเผชิญ สภาผู้บริโภค พบว่า 3 กลุ่มปัญหาหลักที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด ได้แก่ 1. ภัยทุจริตทางการเงิน เช่น การโอนเงินผิดบัญชี/ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ 2. การผิดสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ และ 3. สินค้าที่ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์

จากปัญหาที่เกิดขึ้น สภาผู้บริโภคได้ผลักดันนโยบายเชิงระบบถึงคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 41 เรื่อง ใน 9 ด้านหลักที่สภาผู้บริโภคดำเนินงานอยู่ โดยมีความก้าวหน้าหลายประการ เช่น กฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเปิดดูสินค้าได้ก่อนจ่ายเงิน กรณีเก็บเงินปลายทาง ผ่านมาตรการส่งดี เพื่อป้องกันปัญหาซื้อของออนไลน์แล้วไม่ได้ของ หรือได้ของไม่ตรงปก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ เอ็ตด้า (ETDA) เป็นอย่างดี รวมถึงมาตรการหน่วงเงินก่อนโอนเงิน (Delayed transaction) สำหรับการโอนเงินที่เสี่ยงต่อการถูกมิจฉาชีพหลอกลวง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ธนาคารตั้งระบบเตือนความเสี่ยง พร้อมระงับบัญชีต้องสงสัย (บัญชีม้า) เช่น บัญชีม้าดำ ม้าเทา และบัญชีสีน้ำตาล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดีอี และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

สภาผู้บริโภคยังเสนอให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยกเลิกการแนบลิงก์ใน SMS จากหน่วยงานหรือภาคธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันยังพบว่ามิจฉาชีพสามารถปลอมชื่อผู้ส่ง (Sender Name) ได้ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากถูกหลอกให้คลิกลิงก์และสูญเสียเงิน ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกแนวทางให้ธนาคารต่าง ๆ ห้ามแนบลิงก์ใน SMS แล้ว

ในด้านการศึกษานั้น สภาผู้บริโภคได้ร่วมกับภาคีผลักดันให้เด็กที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม สามารถเรียนฟรี 15 ปีได้จริง พร้อมได้รับใบประกาศนียบัตรแม้ยังไม่ชำระค่าเทอม ซึ่งช่วยลดอุปสรรคในการศึกษาต่อและสมัครงาน โดยมีการร้องเรียนเรื่องนี้จากหลายจังหวัด

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับโรงเรียนหลายแห่งในการออกแบบระบบรถรับส่งนักเรียนที่ปลอดภัย โดยจัดตั้งโรงเรียนต้นแบบ มีการจัดทำมาตรฐานและกลไกตรวจสอบ ซึ่งสามารถขยายผลในอนาคตได้อย่างกว้างขวาง

เสนอแก้กฎหมาย-เดินหน้าความร่วมมือทุกภาคส่วน

สารียังกล่าวถึงการผลักดันกฎหมาย 3 ฉบับสำคัญ ได้แก่

1. พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ที่บังคับใช้มาอย่างยาวนาน ขณะที่สิทธิผู้บริโภคยังก้าวไม่ทันหลาย ๆ ประเทศ ที่นำสิทธิผู้บริโภคสากลมาใช้ ซึ่งทำให้ขณะนี้ยังไม่ครอบคลุมสิทธิผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิด้านข้อมูลส่วนบุคคลที่ยังเป็นความท้าทายสำหรับผู้บริโภคไทย รวมถึงตัวกฎหมายยังไม่มีตัวแทนผู้บริโภค อีกทั้งยังไม่มีระบบดิจิทัลรองรับในตัวบทกฎหมายสวนทางกับยุคดิจิทัลที่ก้าวไปข้างหน้า (อ่านเนื้อหา ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ฉบับสภาผู้บริโภค)

2. พ.ร.บ.อาหาร ปัจจุบันยังไม่มีเครื่องมือที่สามารถตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารได้ทันที ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องบริโภคอาหารที่อาจปนเปื้อนสารเคมีโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน เช่น อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ซึ่งข้อมูลจากกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ของวุฒิสภาที่ไปตรวจสอบผักและผลไม้ ระบุว่าอาหารถึง 70% ไม่ปลอดภัย และตกมาตรฐาน สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้มี “วันเดย์แล็บ (One Day Lab)” หรือห้องแล็บที่สามารถตรวจสอบสารเคมีได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งผลักดันให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับงบประมาณที่เพียงพอในการตรวจสอบ (อ่านต่อที่ ร่าง พ.ร.บ.อาหาร ฉบับสภาผู้บริโภค)

3. ร่างความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือกฎหมายเลมอน ลอว์ (Lemon Law) เป็นกฎหมายใหม่ที่เสนอให้ผู้บริโภคมีสิทธิ “คืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้าใหม่” หากพบว่าสินค้าเกิดปัญหาหรือชำรุดจากการผลิตภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ ซึ่งแนวคิดนี้มีใช้แล้วในประเทศอย่างสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันร่างกฎหมายฉบับนี้ได้บรรจุเข้าสู่กระบวนการของรัฐสภาแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาแล้ว (อ่านต่อที่ ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ฉบับสภาผู้บริโภค)

ขณะที่ในเวทีความร่วมมือคุ้มครองผู้บริโภคระหว่างประเทศ สภาผู้บริโภคมีบทบาทร่วมกับองค์กรผู้บริโภคในกลุ่มอาเซียน +3 รวมถึงอีก 2 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ และ ฮ่องกง เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI โดยส่งเสริมความร่วมมือข้ามประเทศ เช่น หากนักท่องเที่ยวจากไทยประสบปัญหาซื้อของไร้มาตรฐานในฮ่องกง องค์กรผู้บริโภคของฮ่องกงสามารถช่วยเหลือได้ และในทางกลับกันหากนักท่องเที่ยวเจอปัญหาในไทย สภาผู้บริโภคก็สามารถให้ความช่วยเหลือได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคยังคงเผชิญปัญหาการลดงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ปี 2564 เคยได้รับ 350 ล้านบาท แต่ในปี 2569 ได้รับเพียง 127 ล้านบาท และไม่ผ่านการแปรญัตติเพิ่มจากรัฐสภา แม้ภารกิจการคุ้มครองผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ในระยะยาว สภาผู้บริโภควางเป้าหมายในการผลักดันแนวคิด “เมืองที่เป็นธรรม” ซึ่งเป็นเมืองที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย มีระบบขนส่งสาธารณะที่ทั่วถึง ค่าโดยสารไม่เกินร้อยละ 10 ของรายได้ และไม่กระจุกตัวอยู่แต่ในกรุงเทพฯ ยกตัวอย่างเช่นรูปธรรมจากการผลักดันของสภาผู้บริโภค ในภูเก็ต มีการจัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้ากว่า 10 คัน หรือในพื้นที่อย่างกาญจนบุรีและสุขสวัสดิ์ ก็มีโครงการนำร่องที่พร้อมขยายผล          

“เราอยากเห็นสภาผู้บริโภคเป็นสภาพลเมืองที่แท้จริง ซึ่งจะมีกลไกที่ช่วยลดความเสียหายจากภัยมิจฉาชีพในการซื้อขายออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการทำให้เด็กทุกคนได้เรียนฟรีและได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อการทำงานหรือศึกษาต่อโดยไม่มีอุปสรรคเรื่องค่าเทอม พร้อมหวังจะขยายกลไกช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุม 77 จังหวัด และสร้างเมืองที่ดีสำหรับผู้บริโภค ด้วยบริการขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพและราคาเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด” สารีกล่าวปิดท้าย พร้อมกล่าวขอบคุณสมาชิกวุฒิสภาทุกท่านที่ให้การสนับสนุนการทำงานของสภาผู้บริโภค