Ribbon

แบรนด์ดังปลอมเกลื่อน แชมพู-ครีม-ยาสีฟัน จี้เรียกคืนสินค้า

แบรนด์ดังปลอมเกลื่อน แชมพู-ครีม-ยาสีฟัน จี้เรียกคืนสินค้า

ตำรวจสอบสวนกลางบุกตรวจค้นโกดังเครื่องสำอางรายใหญ่ พบ เครื่องสำอางปลอม สินค้าปลอมแบรนด์ดังกว่า 100,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ทั้งแชมพู ครีมบำรุงผิว สกินแคร์ และอุปกรณ์สำหรับปลอมฉลากครบวงจร ตั้งแต่สติ๊กเกอร์ ฉลาก ไปจนถึงหมึกพิมพ์ เตรียมกระจายสู่ตลาดออนไลน์และออฟไลน์ สภาผู้บริโภคเร่งผลักดันนโยบาย “ยืนยันตัวตนผู้ขาย” เพื่อเป็นกลไกให้ผู้ซื้อสามารถทวงถามความรับผิดชอบจากผู้ขาย และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้า พร้อมจี้หน่วยงานเกี่ยวข้องพัฒนาระบบเรียกคืนสินค้า หยุดความเสี่ยงให้ผู้บริโภค

สำหรับสินค้าปลอมที่ตรวจพบประกอบด้วย

  • แชมพูและผลิตภัณฑ์บำรุงหนังศีรษะยี่ห้อไลโอปลอม กว่า 25,000 ขวด
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า NU Formula ปลอมกว่า 3,000 ขวด
  • เครื่องสำอาง CeraVe และ Bioderma ปลอมอีกหลายพันขวด
  • แชมพู head & shoulders ปลอมกว่า 1,000 ชิ้น
  • รวมถึงเครื่องสำอาง ยาสระผม ยาสีฟันปลอมยี่ห้ออื่น ๆ อีกกว่า 50,000 ชิ้น

ที่สำคัญ ยังพบสติ๊กเกอร์-ฉลาก-อุปกรณ์ปลอมแปลงมากกว่า 27,000 ชิ้น แสดงให้เห็นว่าเป็น “โรงงานผลิตของปลอมครบวงจร”

ปัญหาไม่ได้เกิดครั้งเดียว แต่เกิดซ้ำทั้งปี

ตลอดทั้งปี 2568 มีการตรวจพบโกดังลักลอบเก็บเครื่องสำอางและสินค้ามาตรฐานต่ำหลายครั้ง เช่น การตรวจค้นพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ยึดผลิตภัณฑ์สุขภาพไม่ได้มาตรฐานในเดือนมีนาคม 2568  กว่า 400,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 46 ล้านบาท รวมทั้งการตรวจยึดโกดังย่านลาดกระบังที่ซุกซ่อนเครื่องสำอางและสินค้าในครัวเรือนในเดือนกรกฎาคม 2568 กว่า 400,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

ปัจจุบันโลกออนไลน์กลายเป็นตลาดหลักในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค แต่ความสะดวกกลับแลกมาด้วยความเสี่ยงเพราะผู้บริโภคจำนวนมากไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงของผู้ขาย และสินค้าจากโกดังลับสามารถส่งตรงถึงมือผู้บริโภคได้เพียงไม่กี่คลิก ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางและแชมพูเป็นสินค้าที่สัมผัสร่างกายโดยตรง การปลอมแปลงจึงก่อให้เกิดความเสี่ยงและเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง โดยอาจทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรง ผมร่วง การระคายเคือง รวมถึงการสะสมของสารอันตรายในร่างกาย ขณะเดียวกันยังสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สภาผู้บริโภคชู “e-KYM” ทางออกยั่งยืน

สภาผู้บริโภคแนะนำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกซื้อสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาต่ำกว่าร้านค้าอย่างผิดปกติ และควรตรวจสอบเลขที่ใบอนุญาตในระบบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ตรงกับชื่อผลิตภัณฑ์ ตรวจสอบฉลากและภาษา หากพบการสะกดผิดหรือข้อมูลไม่ครบถ้วนควรหลีกเลี่ยง

อย่างไรก็ตาม การให้ผู้บริโภคต้องรับภาระตรวจสอบด้วยตนเองเพียงฝ่ายเดียวถือว่าไม่เป็นธรรม สภาผู้บริโภคจึงเดินหน้าผลักดันนโยบาย “รู้จักตัวตนผู้ขาย” หรือ e-KYM (Know Your Merchant) เพื่อเป็นกลไกบังคับให้ผู้ขายออนไลน์ต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เพิ่มความโปร่งใส ลดโอกาสการฉ้อโกง และสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยสรุปเป็น 4 ประเด็นหลัก ดังนี้

  1. รู้ตัวตน: บังคับผู้ขาย (ทั้งบุคคลและนิติบุคคล) แสดงชื่อ-ที่อยู่-เบอร์โทร และบัญชีธนาคารบนหน้าร้านออนไลน์ทันที
  2. ลดกลโกง: แพลตฟอร์มต้องร่วมรับผิดชอบ ตรวจสอบผู้ขายก่อนอนุญาตให้ลงโฆษณา
  3. เชื่อมั่นคุณภาพ: สินค้าควบคุมต้องแสดงเครื่องหมาย มอก. หรือ อย. ให้ชัดเจนบนหน้าเว็บ
  4. เคลียร์ง่าย: สนับสนุนการใช้บัญชีธนาคารเฉพาะสำหรับการค้าออนไลน์ เพื่อความโปร่งใสในการตามตัว

ต้องมี “ระบบเตือนภัยและเรียกคืนสินค้า” ที่ทำได้จริง

นอกจากกลไกการยืนยันตัวตนผู้ขายแล้ว สภาผู้บริโภคยังเห็นความจำเป็นของการพัฒนาระบบเตือนภัยและเรียกคืนสินค้าอันตราย เมื่อพบสินค้าไม่ปลอดภัย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแจ้งเตือนได้อย่างทันท่วงที พร้อมทั้งเรียกคืนและนำออกจากท้องตลาดอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบันแม้มีข่าวการจับกุม แต่ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าไปแล้วมักไม่ทราบว่าสินค้าที่ตนถืออยู่นั้นเป็นสินค้าปลอมหรือไม่ และการไม่มีระบบเรียกคืนที่ชัดเจนทำให้สินค้าที่ไม่ปลอดภัยยังคงหมุนเวียนในตลาดต่อไป ซึ่งสุดท้ายผลกระทบตกอยู่กับผู้บริโภคโดยตรง

หากตรวจพบสินค้าปลอมสามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ผ่านสายด่วน อย. โทร. 1556 สภาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้บริโภค โทร. 1502 หรือร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดใกล้บ้านได้ที่ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง