เตือน ไทยเข้าเจรจา CPTPP โดยไม่ศึกษาผลได้ผลเสียส่งผลกระทบคนในประเทศ

สภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) เตือนดันไทยเข้าเจรจา CPTPP โดยไม่ศึกษาผลได้ผลเสียส่งผลกระทบกับคนในประเทศ พร้อมระบุ ขณะนี้ สอบ.มีมติร่วมกับสภาหอการค้าฯ ศึกษาวิจัยเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียก่อนเจรจา

ตามที่คณะรัฐมนตรีต้องการให้ไทยยื่นหนังสือขอเข้าร่วมเจรจาความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) โดยมีรายงานข่าวว่าคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในวันอังคารที่ 14 ธันวาคมนี้นั้น

วันนี้ (22 พฤศจิกายน 2564) สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการ สอบ. กล่าวว่า ที่ผ่านมา สอบ.ร่วมประชุมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กระทั่งมีข้อสรุปร่วมกัน และขอให้ กนศ.จัดประชุมเพื่อติดตามการปฏิบัติตามข้อแนะนำของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) รวมถึงยังมีความร่วมมือกันในการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบว่าการเข้าร่วมจะมีผลได้หรือผลเสียมากกว่ากัน ทั้งการค้าและการลงทุนที่เปรียบเทียบกับผลกระทบต่อประเทศ ซึ่งควรเป็นแนวทางในการตัดสินทางนโยบายที่สำคัญ

ก่อนหน้านี้ สอบ. ทำหนังสือข้อเสนอเพื่อชะลอการส่งหนังสือแสดงเจตจำนงเข้าร่วม CPTPP ต่อคณะรัฐมนตรี กนศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมองว่าการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ยังมีความเห็นต่างในเรื่องผลได้ทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนไทยทั้งประเทศ อีกทั้งอาจทำลายความพยายามของรัฐบาลในการบรรลุเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หากมีการเข้าร่วมความตกลง CPTPP ด้วยความไม่รอบคอบ และไม่ได้มองถึงประโยชน์ของประชาชนผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่กลับนำผลประโยชน์ทางธุรกิจของกลุ่มคนส่วนน้อยของประเทศมาพิจารณาเพื่อเข้าร่วมแทน

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภคอีกหลายด้าน หลายประเด็น หากประเทศไทยเข้าร่วมความตกลง CPTPP ดังนี้

1⃣ ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศไทยจะมีสูงขึ้น และอุตสาหกรรมผลิตยาภายในประเทศจะชะงักงันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมาตรการเชื่อมโยงสถานะสิทธิบัตรกับการขึ้นทะเบียนยา (Patent Linkage)

2⃣ ประเทศไทยจะถูกจำกัดการใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงยาที่จำเป็น และพิทักษ์ คุ้มครองสุขภาพของประชาชน เนื่องจากสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องตามข้อบทว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน

3⃣ รัฐบาลไทยจะไม่สามารถสนับสนุนองค์การเภสัชกรรมให้ปฏิบัติพันธกิจส่งเสริมการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยาของประเทศได้อีกต่อไป

4⃣ ประเทศไทยถูกบังคับให้นำเข้าเครื่องมือแพทย์ใช้แล้วที่ผ่านกระบวนการผลิตซ้ำหรือผลิตใหม่ ในขณะที่ประเทศยังไม่มีศักยภาพในการควบคุมกำกับเครื่องมือแพทย์เหล่านี้ ส่งผลให้ผู้ป่วยอาจได้รับการวินิจฉัย และการรักษาโรคผิดพลาดหรือไม่ได้มาตรฐาน

5⃣ ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากภัยของเครื่องสำอางที่ด้อยคุณภาพ

6⃣ ผู้บริโภคจะได้รับความเสี่ยงจากการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ที่ไม่ต้องขึ้นทะเบียนในการจำหน่าย ปัญหาถูกหลอกถูกโกงจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ความตกลง CPTPP กำหนดให้ต้องลดภาษีนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และยาสูบ ส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าถึงอบายมุขเหล่านี้มากขึ้น

7⃣ ฐานทรัพยากรด้านสมุนไพรของไทย ซึ่งสามารถจะพัฒนาต่อยอดเป็นยาและเวชภัณฑ์อาจถูกยึดครองด้วยบรรษัทต่างชาติจากการบังคับเข้าอนุสัญญา UPOV1991

8⃣ เกษตรกรที่ซื้อพันธุ์พืชใหม่มาปลูกจะต้องจ่ายค่าเมล็ดพันธุ์ในราคาสูงขึ้น 2 – 6 เท่า

9⃣ ผู้บริโภคอาจได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่มีหรือปนเปื้อนสารตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) และการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมูและเครื่องในหมู

สารี มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า จนถึงขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเลขานุการ กนศ. ยังไม่ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกฯ ที่รับทราบข้อห่วงกังวลดังกล่าวและบัญชาให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาและประสานกับ สอบ. อ้างอิงถึงสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือถึง สอบ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564

ไม่เพียงเท่านั้น กนศ. ยังมีมติไม่ทำการศึกษาเพิ่มเติมกรณีที่จีน ไต้หวัน และสหราชอาณาจักรเข้าร่วม ว่าจะเป็นประโยชน์หรือส่งผลกระทบทางลบกับไทยที่จะเข้าร่วมหรือไม่อย่างไร รวมทั้งบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังวิกฤตการระบาดของโควิด – 19 ซึ่งพื้นที่ทางนโยบายเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และอาจได้รับผลกระทบจากการฟ้องร้องของนักลงทุนต่างชาติต่อนโยบายสาธารณะผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการที่ไทยเองก็กำลังเผชิญอยู่

ดังนั้น ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม สอบ. ที่ทำหน้าที่ตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ.2562 ในการเป็นตัวแทนผู้บริโภค คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในทุกด้าน ยืนยันข้อเสนอแนะเดิมที่ได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วอีกครั้ง คือ ขอให้คณะรัฐมนตรีชะลอการแสดงความจำนงเข้าร่วม CPTPP จนกว่าจะมีความเห็นร่วมที่แท้จริงบนฐานของความถูกต้อง

กล่าวคือ จนกว่าการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบผลกระทบด้านบวกและด้านลบแล้วเสร็จ และนำเสนอผลการศึกษาวิจัยเปรียบเทียบฯ ต่อสาธารณะทันทีเมื่อแล้วเสร็จ หากข้อมูลพบผลกระทบด้านลบมากกว่าผลดีที่จะเกิดขึ้น ขอให้รัฐบาลมีมติหยุดเข้าร่วมเจรจาความตกลง CPTPP ต่อไป

ทั้งนี้ ข้อกล่าวอ้างที่การเจรจาเข้าร่วมใช้เวลากว่าจะมีผลบังคับใช้ไม่สามารถเป็นหลักประกันป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เพราะจนถึงขณะนี้รัฐบาลยังไม่จัดทำกรอบการเจรจา ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะสำคัญของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่ว่า ไทยยังไม่สมควรที่จะเข้าร่วมในความตกลง CPTPP เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมในหลากหลายด้าน

หากจะมีการเจรจาควรมีกรอบการเจรจาที่เกิดจากกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นอ่อนไหว เพราะแม้คณะรัฐมนตรีจะกล่าวว่าเข้าร่วมแบบมีข้อสงวน แต่เป็นการพูดปากเปล่า ไม่มีแม้แต่สัญญาประชาคมว่า อะไรคือข้อสงวนที่ผู้เจรจาฝ่ายไทยต้องถือเป็นบรรทัดฐานในการเจรจา

#สภาองค์กรของผู้บริโภค #ผู้บริโภค