ธปท. รุกกลับ ลดภัยไซเบอร์ จำกัดโอน 50,000 บ./วัน

ธปท. รุกกลับ ลดภัยไซเบอร์ จำกัดโอน 50,000 บ./วัน

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการใหม่ จำกัดวงเงินโอนและชำระเงินผ่านโมบายแบงก์กิง (Mobile Banking) ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมความปลอดภัยให้ผู้บริโภค ท่ามกลางยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์ระบาดหนักและพัฒนากลโกงรวดเร็วกว่าที่สังคมจะตามทัน มาตรการนี้ไม่เพียงช่วย ลดภัยไซเบอร์ และลดความสูญเสียหากผู้ใช้บริการถูกหลอก แต่ยังเป็นสัญญาณชัดเจนว่าระบบการเงินไทยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการปกป้องผู้บริโภคในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เงินหายภายในไม่กี่นาที จากภัยไซเบอร์ที่ผู้บริโภคเผชิญ

ข้อมูลจาก ธปท. ชี้ให้เห็นปัญหาที่น่ากังวล เดือนมิถุนายน 2568 เพียงเดือนเดียว มีการฉ้อโกงทางการเงินมากกว่า 24,500 รายการ มูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 2,800 ล้านบาท หรือเฉลี่ยผู้เสียหายรายละกว่า 114,000 บาท จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่ “ความเร็ว” ของธุรกรรม คนร้ายสามารถโอนเงินออกได้ภายใน 3 นาที ขณะที่ผู้เสียหายกว่าจะรู้ตัวและดำเนินการแจ้งความมักใช้เวลานานเกือบหนึ่งวันเต็ม

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือ เด็กและผู้สูงอายุ ซึ่งไม่เท่าทันกลลวงใหม่ๆของมิจฉาชีพผ่านระบบออนไลน์ และไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อถูกหลอกลวง ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่เป็นเรื่องเงิน แต่ยังบั่นทอนความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นใจในระบบการเงินโดยรวมของประเทศ  สถานการณ์นี้สะท้อนชัดว่า การขยายเวลาให้ผู้บริโภคได้รู้ตัวและหยุดมิจฉาชีพได้ก่อนเงินถูกโอนออกไป คือหัวใจสำคัญของมาตรการป้องกัน

มาตรการใหม่จาก ธปท. ลดความเสี่ยงให้ผู้บริโภค

เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ธปท. จึงออกมาตรการจำกัดวงเงินการโอนและการชำระเงินต่อวัน โดยครอบคลุมบัญชีบุคคลธรรมดาทุกบัญชีที่ใช้ธุรกรรมการเงินผ่านโมบายแบงก์กิ้ง (ยกเว้นบัญชีนิติบุคคล) และกำหนดให้แต่ละธนาคารพิจารณาวงเงินรายวันตามระดับความเสี่ยงและพฤติกรรมการทำธุรกรรมของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

มาตรการนี้มีการแบ่งผู้ใช้ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ

1) กลุ่มเสี่ยงสูง เช่น บัญชีที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพหรือเป็นบัญชีม้า ธนาคารจะจำกัดวงเงินสูงสุดไว้ที่ 50,000 บาทต่อวัน

2) กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ หากมีความพยายามทำธุรกรรมเกินวงเงินขั้นต่ำหรือมีลักษณะสุ่มเสี่ยง ธนาคารจะหน่วงเงินไว้ขณะที่ส่งข้อความแจ้งเตือนโดยตรง และหากต้องการทำธุรกรรมเกิน 50,000 บาท จะต้องติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันก่อนจึงจะสามารถทำรายการได้

3) ส่วนกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่มีพฤติกรรมปกติ ธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินในการหน่วงเงินตามประวัติการใช้งาน โดยแบ่งเป็นระดับ S, M และ L (50,000 / 200,000 / มากกว่า 200,000 บาทต่อวัน) และสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้หากพบว่าเป็นลูกค้าที่มีพฤติกรรมการใช้งานปกติ

หากผู้บริโภคมีความจำเป็นต้องโอนเงินสูงกว่าวงเงินที่กำหนด ก็สามารถยื่นคำขอและธนาคารจะพิจารณาอนุมัติเป็นรายกรณี และจะแจ้งผลภายในไม่กี่ชั่วโมง สำหรับผู้ใช้บางรายที่มีประวัติการโอนเงินปกติอยู่แล้ว ธนาคารอาจพิจารณาอนุมัติการขยายวงเงินได้โดยไม่ต้องใช้เอกสารเพิ่มเติม แต่หากเป็นลูกค้าใหม่หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ธนาคารอาจขอข้อมูลประกอบการพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งมาตรการนี้จึงไม่เพียงช่วยลดความเสียหายไม่ให้เงินถูกดูดออกหมดในครั้งเดียว แต่ยังสร้าง “เวลาปลอดภัย” ให้ผู้บริโภคได้ตรวจสอบธุรกรรมด้วยตนเอง เพิ่มโอกาสป้องกันความเสียหายจากมิจฉาชีพได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะเริ่มใช้กับกลุ่มคนที่เพิ่งเปิดบัญชีใหม่ภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนผู้ใช้งานปัจจุบันและมีบัญชีโมบายแบงก์กิ้งอยู่แล้ว เริ่มดำเนินการภายในสิ้นปี 2568

จากข้อเสนอเดิม สู่แนวทางใหม่ที่เน้นตรวจสอบความเสี่ยง

มาตรการใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยในครั้งนี้ สภาผู้บริโภคคาดหวังว่าจะสามารถชะลอการรุกคืบของมิจฉาชีพและเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับที่ สภาผู้บริโภคได้ผลักดันตั้งแต่เดือนกรกฏาคม ในปี 2568 ที่สภาผู้บริโภคเสนอมาตรการ “หน่วงเงินก่อนโอน (Delayed Transaction)” เพื่อสร้างเวลาให้ผู้ใช้ตรวจสอบธุรกรรม โดยเคยเสนอให้ชะลอธุรกรรมมูลค่าสูงไว้ระยะหนึ่งก่อนที่จะโอนจริง แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการเดียวกันคือการซื้อเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เงินถูกโอนไปถึงมิจฉาชีพอย่างรวดเร็ว

ปัจจุบัน ธปท. ได้ออกมาตรการใหม่ที่เน้น การชะลอหรือระงับธุรกรรมเฉพาะกรณีที่บัญชีปลายทางถูกสงสัยว่าอาจเป็นบัญชีมิจฉาชีพ หากระบบตรวจพบความผิดปกติ ธนาคารจะไม่อนุญาตให้โอนทันที พร้อมส่งข้อความแจ้งเตือน ไปยังผู้บริโภคให้ตรวจสอบ หากธุรกรรมนั้นเป็นจริง ผู้ใช้ก็ยังสามารถทำต่อได้ แต่ถ้าเป็นการหลอกลวงก็สามารถหยุดความเสียหายได้ทันเวลา

จะเห็นได้ว่า มาตรการในแนวคิดนี้ได้ถูกดำเนินการในหลายประเทศที่มีปัญหาภัยไซเบอร์ที่คล้ายคลึงกัน

บทเรียนจากต่างประเทศ หน่วงเงินก่อนโอน เป็นมาตรการมาตรฐาน

หลายประเทศทั่วโลกมีมาตรการคล้ายกันในการซื้อเวลาเพื่อปกป้องผู้บริโภค สหรัฐอเมริกามีระบบ Escrow Payment หรือการชำระเงินผ่านคนกลาง โดยบุคคลที่สามจะถือเงินไว้จนกว่าผู้ซื้อจะยืนยันรับสินค้า ระบบนี้เป็นที่คุ้นเคยกับผู้บริโภคไทยในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างช็อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada)

ในสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร มีกฎหมาย PSD2 (Payment Services Directive 2) ที่กำหนดมาตรฐานสูงด้านความปลอดภัยทางการเงิน ธุรกรรมบางประเภทจะถูกหน่วงไว้เพื่อให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติม อีกทั้งยังมีกติกาชัดเจนว่าหากผู้บริโภคถูกหลอก ธนาคารต้องคืนเงินภายในกรอบเวลาที่กำหนด กฎหมายนี้ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าหากตกเป็นเหยื่อก็ยังมีทางออกที่เป็นธรรม

ขณะที่ออสเตรเลียและสิงคโปร์ เลือกใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ และสามารถหน่วงธุรกรรมที่ถูกสงสัยได้ทันทีโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากผู้ใช้ การทำงานเชิงรุกเช่นนี้ทำให้มิจฉาชีพทำงานยากขึ้น และเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองตั้งแต่ต้นทาง

ก้าวต่อไปของไทย เติมเต็มมาตรการให้สมบูรณ์

มาตรการจำกัดวงเงินรายวันของ ธปท. ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญและจำเป็น แต่ยังมีพื้นที่สำหรับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบ โดยการพัฒนามาตรการที่สามารถตรวจจับความเสี่ยงได้ลึกขึ้น และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีสิทธิเลือกมากขึ้น เป้าหมายไม่ใช่เพียงการป้องกันความเสียหาย แต่คือการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัลระยะยาว

ในโลกที่ภัยไซเบอร์พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การให้สิทธิผู้บริโภคเลือกโอนช้าเพื่อความปลอดภัย ไม่ได้เป็นเพียงกลไกทางเทคนิค แต่คือการลงทุนในความเชื่อมั่น ของสังคมต่อระบบการเงินไทย และเป็นหลักประกันว่าผู้บริโภคทุกคนจะได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรม

อ้างอิงเนื้อหา