‘สงครามไซเบอร์’ ชายแดนไทย – กัมพูชา ผลกระทบผูกขาดคลื่นความถี่

‘สงครามไซเบอร์’ ชายแดนไทย - กัมพูชา ผลกระทบผูกขาดคลื่นความถี่

เหตุการณ์ล่าสุดที่ไทยถูกโจมตีที่อาจเรียกว่าเป็น สงครามไซเบอร์ จากแหล่งที่เชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกับรัฐบาลกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวปลอม ปั่นกระแส IO (Information Operation) บนโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการแฮกข้อมูลจากองค์กรภาครัฐและเอกชน ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ส่งผลกระทบต่อประชาชน และการสื่อสารสาธารณะของประเทศ สะท้อนภาพของยุคสมัยที่ “ความมั่นคงของประเทศ” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่กำลังทหาร แต่ผูกโยงแน่นหนากับ โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและการถือครอง ‘คลื่นความถี่’ ที่เป็นสมบัติของชาติ

คลื่นความถี่ “อธิปไตยใหม่” ในยุคดิจิทัล

หน่วยงานด้านความมั่นคงขยับรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างแข็งขัน แต่ในอีกฟากหนึ่งกลับพบว่าหน่วยงานกำกับดูแลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลอย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กลับล้มเหลวในการรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียง 1 เดือน กสทช.ได้ลงพื้นที่ชายแดนและสั่งให้เอกชนที่มีสัญญาคู่ค้ากับกัมพูชายุติปล่อยสัญญาณทั้งหมด แต่เดือนถัดมาไทยกลับถูกโจมตีอย่างหนักจากภัยไซเบอร์

ภารกิจในการกำกับคลื่นความถี่ ที่ควรเป็นกลไกสร้างดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ การแข่งขัน และ “ความมั่นคงของชาติ” กลับถูกลดทอนเป็นเพียง “สนามประมูล” ที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา กสทช. อนุมัติให้เกิดการควบรวมกิจการโทรคมนาคมครั้งใหญ่ ได้แก่ ทรู-ดีแทค และ AIS-3BB โดยที่สภาผู้บริโภคและนักวิชาการได้เตือนแล้วว่า “จะทำให้ตลาดอยู่ในสภาพกระจุกตัว และเกิดการผูกขาดโดยพฤตินัย”

การที่หน่วยงานภาครัฐ อย่างบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ตัดสินใจไม่ร่วมการประมูลครั้งนี้ ถือเป็นความเสี่ยงในเชิงโครงสร้างต่ออธิปไตยไซเบอร์อย่างชัดเจน โดยจากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พบว่าในปี 2567 หน่วยงานของรัฐถูกโจมตีไซเบอร์ถึง 475 ครั้ง ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าภัยไซเบอร์มุ่งตรงสู่ระบบสำคัญของรัฐ และยิ่งข่ายโครงข่ายอยู่ในมือเอกชนมากเท่าไร ความสามารถของรัฐจะยิ่งจำกัดมากขึ้น

ที่สำคัญ คลื่นความถี่ ซึ่งเป็น สมบัติสาธารณะ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าต้องใช้ “เพื่อประโยชน์ของสาธารณะและความมั่นคงของรัฐ” แต่กสทช.กลับปล่อยให้คลื่นเหล่านี้ผูกขาดอยู่กับเอกชน โดยขาดการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ถือเป็น การทิ้งอธิปไตยทางดิจิทัลของชาติ ให้เปราะบาง

โครงข่ายของชาติอยู่ในมือใคร?

คำถามที่ใหญ่กว่า ก็คือ ความมั่นคงของชาติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศกว่าร้อยละ 99 อยู่ในมือเอกชน ผ่านการจัดประมูลคลื่นความถี่ที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนเพียง 2 ราย โดยกสทช.ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากประชาชน และผู้บริโภคที่เดือดร้อนจากการผูกขาดของผู้ให้บริการ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ดร.ชัยยศ จิรบวรกุล นักวิชาการโทรคมนาคม อดีตผู้บริหารซิมเพนกวิน กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีระบบตรวจสอบที่เพียงพอว่าข้อมูลของประชาชนจะถูกใช้ไปอย่างไร จะปลอดภัยจากการถูกขายหรือส่งต่อหรือไม่ เพราะไม่มีใครกำกับดูแลได้อย่างเต็มรูปแบบ และกสทช.ไม่ได้ใช้บทบาทเชิงรุกในการกำกับในส่วนนี้ และนี่ถือเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของข้อมูลอย่างแท้จริง

วันนี้ได้เห็นแล้วว่า เมื่อเกิดวิกฤตไซเบอร์ หรือภัยจากรัฐอื่น เช่น กรณีจากโจมตีไซเบอร์จากกัมพูชาที่เกิดขึ้น โครงข่ายด้านโทรคมนาคม ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคง ใช้เราใช้อยู่นั่น แทนที่จะเป็นเกราะป้องกัน กลับกลายเป็นจุดอ่อน

ทางรอดของประเทศในยุคที่ “ไซเบอร์คือสนามรบ” ไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยีหรือการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง หากแต่เป็นการ สร้างโครงสร้างกำกับดูแลที่เข้มแข็ง โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชน โดยรัฐต้องเริ่มจากการจัดสรรคลื่นอย่างโปร่งใสและปลอดภัย

“สงครามยุคใหม่ ไม่ได้ยิงกระสุน แต่ยิงข้อมูล”

ประเทศอาจมีเขตแดนที่แน่นอน แต่ “ดินแดนดิจิทัล” ไม่มีรั้ว ไม่มีลวดหนาม และไม่มีแผนที่ ใครจะควบคุมหรือโจมตีเราก็ได้ ถ้าเราไม่ยืนหยัดควบคุมเครื่องมือที่ใช้สื่อสาร เชื่อมต่อ และจัดเก็บข้อมูลของคนไทย “คลื่นความถี่” จึงไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือ แนวป้องกันสุดท้ายของประเทศ

การปล่อยให้มันถูกกลุ่มทุนผูกขาด หรือปล่อยให้ กสทช.เป็นเพียง “นายทะเบียน” ที่จัดประมูลแล้วจบ เท่ากับเราเปิดประตูบ้านให้ข้าศึกเข้าโจมตี ถึงเวลาหรือยังที่ต้องทวง “ความมั่นคง” คืนจากโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ที่กสทช.ควรตระหนักถึงบทบาทในการกำกับดูแลโครงสร้างพื้นฐานคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์สูงสุดประเทศชาติและประชาชน