
ท่ามกลางเปลวไฟร้อนแรงที่แผดเผาตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา กลับมีไฟอีกชนิดหนึ่งที่ลุกลามโดยมองไม่เห็น นั่นคือไฟของ “สงครามไซเบอร์” ที่สั่นคลอนและกระทบความมั่นคงของชาติ ตามที่คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) รายงานว่าแก๊งคอลเซนเตอร์ปรับการหลอกลวงคนไทยมาทำสงคราม IO โจมตีไทยกว่า 500 ล้านครั้งภายในเวลา 24 ชั่วโมง
เหตุการณ์ล่าสุดที่ไทยถูกโจมตีที่อาจเรียกว่าเป็น สงครามไซเบอร์ จากแหล่งที่เชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกับรัฐบาลกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยข่าวปลอม ปั่นกระแส IO (Information Operation) บนโซเชียลมีเดีย ไปจนถึงการแฮกข้อมูลจากองค์กรภาครัฐและเอกชน ก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ส่งผลกระทบต่อประชาชน และการสื่อสารสาธารณะของประเทศ สะท้อนภาพของยุคสมัยที่ “ความมั่นคงของประเทศ” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่กำลังทหาร แต่ผูกโยงแน่นหนากับ โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและการถือครอง ‘คลื่นความถี่’ ที่เป็นสมบัติของชาติ
คลื่นความถี่ “อธิปไตยใหม่” ในยุคดิจิทัล
หน่วยงานด้านความมั่นคงขยับรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างแข็งขัน แต่ในอีกฟากหนึ่งกลับพบว่าหน่วยงานกำกับดูแลที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการคุ้มครองโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลอย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กลับล้มเหลวในการรักษาผลประโยชน์ของสาธารณะ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียง 1 เดือน กสทช.ได้ลงพื้นที่ชายแดนและสั่งให้เอกชนที่มีสัญญาคู่ค้ากับกัมพูชายุติปล่อยสัญญาณทั้งหมด แต่เดือนถัดมาไทยกลับถูกโจมตีอย่างหนักจากภัยไซเบอร์
ภารกิจในการกำกับคลื่นความถี่ ที่ควรเป็นกลไกสร้างดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ การแข่งขัน และ “ความมั่นคงของชาติ” กลับถูกลดทอนเป็นเพียง “สนามประมูล” ที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย โดยตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา กสทช. อนุมัติให้เกิดการควบรวมกิจการโทรคมนาคมครั้งใหญ่ ได้แก่ ทรู-ดีแทค และ AIS-3BB โดยที่สภาผู้บริโภคและนักวิชาการได้เตือนแล้วว่า “จะทำให้ตลาดอยู่ในสภาพกระจุกตัว และเกิดการผูกขาดโดยพฤตินัย”
การที่หน่วยงานภาครัฐ อย่างบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ตัดสินใจไม่ร่วมการประมูลครั้งนี้ ถือเป็นความเสี่ยงในเชิงโครงสร้างต่ออธิปไตยไซเบอร์อย่างชัดเจน โดยจากรายงานของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) พบว่าในปี 2567 หน่วยงานของรัฐถูกโจมตีไซเบอร์ถึง 475 ครั้ง ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าภัยไซเบอร์มุ่งตรงสู่ระบบสำคัญของรัฐ และยิ่งข่ายโครงข่ายอยู่ในมือเอกชนมากเท่าไร ความสามารถของรัฐจะยิ่งจำกัดมากขึ้น
ที่สำคัญ คลื่นความถี่ ซึ่งเป็น สมบัติสาธารณะ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าต้องใช้ “เพื่อประโยชน์ของสาธารณะและความมั่นคงของรัฐ” แต่กสทช.กลับปล่อยให้คลื่นเหล่านี้ผูกขาดอยู่กับเอกชน โดยขาดการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ถือเป็น การทิ้งอธิปไตยทางดิจิทัลของชาติ ให้เปราะบาง
โครงข่ายของชาติอยู่ในมือใคร?
คำถามที่ใหญ่กว่า ก็คือ ความมั่นคงของชาติจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? เมื่อโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศกว่าร้อยละ 99 อยู่ในมือเอกชน ผ่านการจัดประมูลคลื่นความถี่ที่เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนเพียง 2 ราย โดยกสทช.ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากประชาชน และผู้บริโภคที่เดือดร้อนจากการผูกขาดของผู้ให้บริการ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
- สภาผู้บริโภคออกแถลงการณ์ ผิดหวังมติ กสทช. อนุญาตควบรวม AIS – 3BB
- สภาองค์กรของผู้บริโภคเดินหน้าฟ้องศาลปกครอง และ ป.ป.ช. กรณีควบรวมทรู – ดีแทค
ดร.ชัยยศ จิรบวรกุล นักวิชาการโทรคมนาคม อดีตผู้บริหารซิมเพนกวิน กล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีระบบตรวจสอบที่เพียงพอว่าข้อมูลของประชาชนจะถูกใช้ไปอย่างไร จะปลอดภัยจากการถูกขายหรือส่งต่อหรือไม่ เพราะไม่มีใครกำกับดูแลได้อย่างเต็มรูปแบบ และกสทช.ไม่ได้ใช้บทบาทเชิงรุกในการกำกับในส่วนนี้ และนี่ถือเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของข้อมูลอย่างแท้จริง
วันนี้ได้เห็นแล้วว่า เมื่อเกิดวิกฤตไซเบอร์ หรือภัยจากรัฐอื่น เช่น กรณีจากโจมตีไซเบอร์จากกัมพูชาที่เกิดขึ้น โครงข่ายด้านโทรคมนาคม ที่ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคง ใช้เราใช้อยู่นั่น แทนที่จะเป็นเกราะป้องกัน กลับกลายเป็นจุดอ่อน
ทางรอดของประเทศในยุคที่ “ไซเบอร์คือสนามรบ” ไม่ใช่แค่การพัฒนาเทคโนโลยีหรือการเพิ่มงบประมาณด้านความมั่นคง หากแต่เป็นการ สร้างโครงสร้างกำกับดูแลที่เข้มแข็ง โปร่งใส และยึดโยงกับประชาชน โดยรัฐต้องเริ่มจากการจัดสรรคลื่นอย่างโปร่งใสและปลอดภัย
“สงครามยุคใหม่ ไม่ได้ยิงกระสุน แต่ยิงข้อมูล”
ประเทศอาจมีเขตแดนที่แน่นอน แต่ “ดินแดนดิจิทัล” ไม่มีรั้ว ไม่มีลวดหนาม และไม่มีแผนที่ ใครจะควบคุมหรือโจมตีเราก็ได้ ถ้าเราไม่ยืนหยัดควบคุมเครื่องมือที่ใช้สื่อสาร เชื่อมต่อ และจัดเก็บข้อมูลของคนไทย “คลื่นความถี่” จึงไม่ใช่แค่ธุรกิจ แต่คือ แนวป้องกันสุดท้ายของประเทศ
การปล่อยให้มันถูกกลุ่มทุนผูกขาด หรือปล่อยให้ กสทช.เป็นเพียง “นายทะเบียน” ที่จัดประมูลแล้วจบ เท่ากับเราเปิดประตูบ้านให้ข้าศึกเข้าโจมตี ถึงเวลาหรือยังที่ต้องทวง “ความมั่นคง” คืนจากโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ ที่กสทช.ควรตระหนักถึงบทบาทในการกำกับดูแลโครงสร้างพื้นฐานคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์สูงสุดประเทศชาติและประชาชน