กลไกเพิกถอน ยาอันตราย อย.ล่าช้าถึง 3 ปี ผู้บริโภครับเคราะห์

กลไกเพิกถอนยาอันตราย อย.ล่าช้าถึง 3 ปี ผู้บริโภครับเคราะห์

จากกรณีการตรวจพบยาสมุนไพรจีนยี่ห้อดังมีการลักลอบใส่ยาแผนปัจจุบันที่อาจทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงอันตราย จนนำมาสู่การเพิกถอนทะเบียนโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้จุดประกายคำถามสำคัญถึงประสิทธิภาพและความรวดเร็วของกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อาทิ ทำไมผลิตภัณฑ์ที่อาจเป็นอันตรายจึงยังคงวางจำหน่ายได้เป็นเวลานาน บ้างกินเวลายาวนานข้ามปี กว่าจะมีการประกาศเตือนหรือเรียกเก็บ? และที่สำคัญคือ ผู้บริโภคจะป้องกันตนเองจากภัยเงียบเหล่านี้ได้อย่างไร?

เมื่อ “พิธีรีตองทางกฎหมาย” มาก่อน “สุขภาพประชาชน”

ความเห็นจาก ภก.ภาณุโชติ ทองยัง ประธานอนุกรรมการ ด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาผู้บริโภค วิเคราะห์ถึงปัญหาสำคัญที่ทำให้กระบวนการของ อย. ล่าช้า โดยชี้ว่าข้อจำกัดไม่ได้เป็นความตั้งใจ ของ อย. แต่เกิดจาก ข้อจำกัดทางกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่ซับซ้อน โดยเฉพาะในขั้นตอนการเพิกถอนทะเบียนที่ล่าช้า จากข้อจำกัดด้านอำนาจ เนื่องจากการเพิกถอนทะเบียนไม่ใช่เป็นอำนาจของเลขาธิการ อย. ที่จะสั่งการได้ทันที แต่ต้องผ่านการพิจารณาของ คณะกรรมการเฉพาะกิจ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วมีการประชุมเพียงเดือนละครั้ง นี่จึงเป็นเหตุผลว่า “เจอวันนี้ จึงไม่ได้สามารถถอนทะเบียนได้ทันทีในวันนี้” ทำให้กระบวนการยืดเยื้อออกไปหลายเดือน หรืออาจนานเป็นปี”

อย่างไรก็ดี ภก.ภาณุโชติย้ำว่า ในความเป็นจริงเมื่อผลการตรวจสอบออกมาแล้วว่าผลิตภัณฑ์มีปัญหา จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะการเรียกเก็บผลิตภัณฑ์ออกจากตลาด เพราะการล่าช้าแม้เพียงหนึ่งหรือสองวัน อาจส่งผลให้มีผู้บริโภคจำนวนมากทั่วประเทศยังคงนำสารพิษเข้าร่างกายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพประชาชน แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบยาไทย

“ยิ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์สมุนไพรดี ๆ มันหายไป มันก็ทำลายระบบสมุนไพรของยาไทยของเราโดยทางอ้อมด้วยซ้ำ” ภก.ภาณุโชติกล่าว

ล่าช้า 3 ปี ไร้คำตอบด้านการเยียวยา

ด้าน มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค ตั้งคำถามอย่างหนักถึงกรอบเวลาในการดำเนินการของ อย. โดยยกกรณีของ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรจิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง ซึ่งมีการสั่งเรียกเก็บคืนผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ 21 ตุลาคม 2565 แต่เพิ่งมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนอย่างเป็นทางการในปี 2568 ความล่าช้าเกือบ 3 ปีในการเพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์ถือเป็นปัญหาร้ายแรง เพราะเป็นการปล่อยให้ผู้บริโภคต้องเผชิญความเสี่ยงต่อสุขภาพเป็นเวลานานโดยไม่รู้ตัว

เธอระบุว่า “มีการเก็บตัวอย่างมานานมากแล้ว เพิ่งจะมาเพิกถอนทะเบียนในปี 68 แล้วก่อนหน้านั้นล่ะจะทำให้ผู้บริโภคที่รับประทานยาตัวนี้มีผลเสียผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง”

มลฤดีให้มุมมองว่า ความล่าช้าดังกล่าวสร้างความเสียหายต่อสุขภาพของผู้ที่บริโภคไปแล้ว ขณะเดียวกันอีกจุดอ่อนในด้านการเยียวยาผู้เสียหาย ของ อย. มักทำได้เพียงประกาศเตือนให้ผู้บริโภคระวังและหยุดใช้ โดยยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบไปแล้วอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายที่เสียไป นอกจากนี้ ยังมีการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในการดำเนินการลงโทษบริษัทผู้ผลิตและผู้ประกอบการอีกด้วย

“เราเคยรณรงค์มาตลอดว่า ผู้บริโภคเมื่อเจอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ปลอดภัยขอให้ร้องเรียน แต่ร้องเรียนไปแล้ว เมื่อผู้บริโภคซื้อไปแล้ว แต่การร้องเรียนผู้บริโภคจะได้อะไรกลับบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเยียวยาเรื่องทางด้านสุขภาพ หรือทางด้านเงินที่เสียไป  อันนี้ก็อยากจะให้ อย. ทบทวนเกี่ยวกับเรื่องการเยียวยาให้กับผู้บริโภค”

ย้อนไทม์ไลน์ ก่อน “ระงับ” จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง

ย้อนไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2565 มีการแจ้งเตือนให้เรียกคืนผลิตภัณฑ์สมุนไพร จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง เนื่องจากการตรวจพบการปลอมปน สารทาดาลาฟิล ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบันอันตราย ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 อย. ได้ประกาศเตือนอย่างเป็นทางการว่าผลิตภัณฑ์บางรุ่นเป็นของปลอม จากนั้นจึงมีการขยายผลการตรวจสอบจนพบการปนเปื้อนต่อเนื่องในอีก 3 รุ่นการผลิตในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กระทั่งถึงวันที่ 22 กันยายน 2568 อย. จึงมีคำสั่ง เพิกถอนทะเบียนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ การดำเนินการดังกล่าวยืดเยื้อกินเวลากว่า 3 ปีนับตั้งแต่การตรวจพบปัญหาครั้งแรก สะท้อนถึงจุดอ่อนของกระบวนการทางกฎหมายที่ล่าช้าในการปกป้องประชาชน

นอกจากนี้จากข้อมูลยังพบว่า ก่อนหน้านั้นในปี 2553 อย. เคยสั่งระงับโฆษณาผลิตภัณฑ์ “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” จากสื่อหลายประเภท เนื่องจากการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงและมีผู้บริโภคร้องเรียน ซึ่งการกระทำดังกล่าวขัดกับพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562  ที่ได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมีข้อจำกัดในการโฆษณาสรรพคุณ ห้ามโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น การอ้างว่าสามารถบำรุงร่างกายชาย เสริมสมรรถภาพทางเพศ รักษาโรคข้อ หรือรักษาตา เป็นต้น แต่ภายหลังการสั่งระงับของ อย.กลับพบว่า สมุนไพรเจ้าปัญหาดังกล่าวยังคงมีการโฆษณาผ่านช่องทางสื่ออยู่เป็นระยะ

จากการค้นฐานข้อมูลของผู้ผลิต บริษัท จงไท้เจี้ยนหมิงเอี้ยวเอี้ย (กรุ๊ป) จำกัด ระบุว่าก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2549 ธุรกิจหลักเป็นผู้นำเข้า ผลิต และจำหน่ายยาสมุนไพรแผนโบราณบำรุงร่างกาย โดยมีเครื่องหมายการค้า “จิ่วเจิ้ง” ล่าสุด มีข้อน่าสังเกตว่า บริษัทได้แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท หนานหยางถงเหรินถังจื้อเย่า (กรุ๊ป) จำกัด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568

อีกหนึ่งความท้าทายของเรื่องนี้คือ แม้จะมีการประกาศเพิกถอนทะเบียนและคำสั่งเรียกคืนอย่างชัดเจน แต่ผลิตภัณฑ์ “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” ยังคงสามารถพบเห็นและซื้อขายได้บนแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งผู้จำหน่ายบางรายใช้ข้อความโฆษณาที่หลีกเลี่ยงการกล่าวอ้างเกินจริงอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังคงใช้คำว่า “ของแท้” “ล็อตใหม่” หรือ “จากโรงงานโดยตรง” เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและล่อลวงผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายยังคงถูกกฎหมายและปลอดภัย 

(ข้อมูลจากการค้นหาในแพลตฟอร์มพาณิชย์แห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2568)

ปัญหาดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่ากลไกการเรียกคืนผลิตภัณฑ์แบบเดิมที่มุ่งเน้นไปยังผู้ผลิตและร้านค้าทางกายภาพ หากแต่ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จในตลาดดิจิทัล ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องปรับตัวและพัฒนากลไกการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อป้องกันการเข้าถึงผลิตภัณฑ์อันตรายของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มลฤดีกล่าวว่า ปัญหาการขายผลิตภัณฑ์ที่เพิกถอนทะเบียนหรือมีสารต้องห้ามในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ โดยพบเกือบร้อยรายการ เธอยอมรับว่าแสดงให้เห็นถึงความท้าทายในการควบคุมตลาดดิจิทัล แม้จะมองว่าพระราชบัญญัติสมุนไพร พ.ศ. 2562 ถือเป็นกฎหมายที่มีอำนาจการบังคับใช้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดา พรบ. ต่าง ๆ ของ อย.

“สิ่งที่น่าสนใจคือ จากข้อมูลการร้องเรียนของสภาผู้บริโภค พบว่าการร้องเรียนส่วนใหญ่ยังมาจากการเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่และเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคมากกว่าการร้องเรียนโดยตรงจากผู้บริโภค ซึ่งอาจสะท้อนว่าผู้บริโภคอาจยังไม่ทราบช่องทางหรือไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง”

ดึงพลังประชาชน ทางออกเท่าทันเกมผู้ค้า

ด้าน ภก.ภาณุโชติ เอ่ยถึงแนวทางที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนกว่าคือการดึงพลังของภาคประชาชนเข้ามาช่วยยกระดับการทำงานเชิงรุก โดยการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบกับเครือข่ายภาคประชาสังคม สื่อมวลชน หรืออินฟลูเอนเซอร์ผู้มีอิทธิพลทางความคิด

 “ถ้าคุณบอกว่าคนน้อย งบประมาณไม่พอ แต่คุณยังใช้วิธีการเดิม ๆ ในการแก้ปัญหา ยังไงก็ไม่สำเร็จ คุณก็อาจจะต้องใช้วิธีการใหม่ ๆ แล้ว โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้เป็นโลกที่ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วม”

ภก.ภาณุโชติ ยังให้ความเห็นว่า อย. ควรเร่งสร้างระบบที่สามารถ เชื่อมโยงข้อมูลผลการตรวจสอบอันตรายเข้ากับภาคีเครือข่ายเหล่านี้โดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล คือการสร้าง ระบบเฝ้าระวังเชิงรุก ที่มีคนคอยเป็นหูเป็นตาจากทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และยังได้ ระบบเตือนภัยเร่งด่วน ที่ทุกคนพร้อมจะช่วยกันกระจายข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง