
ใครควรรับผิดชอบปัญหา “สายสื่อสารมรณะ พาดระโยงระยางกับสายไฟในชุมชนสร้างความเดือดร้อนต่อสาธารณะ สภาผู้บริโภคชี้องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องแก้ไขและรับโทษ ประชาชนต้องได้รับการเยียวยา
จากการที่มีการร้องเรียนของประชาชนที่เดือดร้อนจากสายสื่อสารที่พาดรกรุงรังก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณะสภาผู้บริโภคจึงได้จัดทำรายงานละเลยการปฏิบัติหน้าที่สายสื่อสารมรณะต่อ กสทช. กฟน. กฟภ. พร้อมยื่นหนังสือต่อ นายกรัฐมนตรีและครม. ชูทางแก้ไขจัดตั้งคณะกรรมการจัดการสายสื่อสารระดับจังหวัดที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน หนุนการจัดตั้งกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
วันที่ 1 กันยายน 2568 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) เปิดเวทีเสวนา “เปิดรายงาน – เปิดทางออก พลิกวิกฤตสายสื่อสารไม่ปลอดภัย สู่การคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นรูปธรรม” หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลังสายสื่อสารไม่ได้รับการแก้ไขยาวนาน โดยส่งรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหา “สายสื่อสารมรณะ” ที่รกรุงรังและผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค เดินหน้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีและ ครม. พร้อมชูทางออกจัดตั้งคณะกรรมการจัดการสายสื่อสารระดับจังหวัดที่มีตัวแทน พร้อมจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบ
ลาภิศ ฤกษ์ดี หัวหน้าหน่วยงานเขตพื้นที่ภาคเหนือ สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคภาคเหนือได้ร่วมมือกับองค์กรสมาชิกในพื้นที่ เปิดช่องทางเฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนปัญหาสายสื่อสารไม่ปลอดภัยที่พาดระโยงระยางบนเสาไฟในเขตชุมชนทั่วประเทศ โดยช่วงที่ผ่านมามีข้อมูลร้องเรียนสะสมกว่า 1,177 เรื่อง ผ่านการแจ้งพิกัด ถ่ายภาพ ส่งต่อข้อมูลไปยัง @ERCvoice ของการไฟฟ้า ตลอดจนการทำงานร่วมกับหน่วยงานและแพลตฟอร์มที่เกี่ยวข้อง แต่ปัญหายังคงพบเจอซ้ำซากโดยเฉพาะความล่าช้าในการจัดการ บางกรณีใช้เวลาแก้ไขเร็วสุด 29 วัน แต่ช้าที่สุดนานถึง 101 วัน รวมถึงจากการสำรวจผู้บริโภคจำนวน 2,199 คน สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า กว่า 71.7% เคยประสบปัญหาสายสื่อสารรกรุงรัง 91.5% เห็นตรงกันว่าต้องมีการจัดการอย่างจริงจัง และถึง 92.1% เชื่อว่าอุบัติเหตุมีโอกาสเกิดจากสายสื่อสารที่ไม่เป็นระเบียบ ขณะที่ 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า กสทช. ต้องเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหานี้
จากสถานการณ์และข้อเสนอแนะที่ถูกรวบรวม สภาผู้บริโภคจึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาในเชิงระบบ ทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการจัดการสายสื่อสารระดับจังหวัดที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วนรวมถึงผู้บริโภค การจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดระเบียบสายอย่างน้อยปีละ 10 กิโลเมตร การปรับปรุงระบบสายสื่อสารให้เหลือเพียงรายเดียว (Single Last Mile) และให้ผู้ประกอบการจัดการสายที่เหลืออยู่หลังลูกค้ายกเลิกการใช้งาน ตลอดจนการตั้งกองทุนเยียวยาผู้เสียหายในกรณีที่พิสูจน์ได้ว่าอุบัติเหตุเกิดจากสายสื่อสารไม่ปลอดภัย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองอย่างเป็นธรรมและเป็นรูปธรรม
“ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นภัยเงียบที่อาจพรากชีวิตผู้บริโภคไปทุกเมื่อ โดยพื้นที่ภาคเหนือมีเหตุร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับสายสื่อสารที่พาดบนเสาไฟฟ้า สายห้อยต่ำหรือชำรุด จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหลายกรณี เช่น เหตุไฟไหม้จากเสาไฟที่มีสายสื่อสารพัวพันแน่นหนา จนผู้บริโภคเกิดความกังวลว่าจะลุกลามเข้าสู่ตัวบ้าน หรือเหตุการณ์ที่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ถูกสายพาดลำคอจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งที่ไม่อาจทราบได้ว่าสายที่ก่อเหตุเป็นของผู้ประกอบการรายใด” นายลาภิศ ฤกษ์ดี
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ยังเกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก เช่น กรณีสายสื่อสารเกี่ยวลำคอผู้ขับขี่ที่พะเยา อุบัติเหตุจักรยานยนต์ล้มที่น่าน เหตุไรเดอร์ส่งอาหารลำปางประสบอุบัติเหตุจนไหปลาร้าและแขนขาหัก สูญเสียรายได้ หรือกรณีล่าสุดที่ประจวบคีรีขันธ์ สายสื่อสารห้อยพาดคอผู้สัญจรจนทำให้ได้รับความเสียหายทางร่างกาย
ด้าน อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า จากการติดตามของสภาผู้บริโภคในเรื่องสายสื่อสาร ภายหลังที่มีมติ ครม.ออกมาดำเนินการ ยังเกิดกรณีปัญหาทั้งใน กทม. และปริมณฑลหน่วยจังหวัดต่างๆ ทำให้สภาผู้บริโภคจึงทำรายงานละเลยการกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 สภาผู้บริโภคได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ คาดหวังว่าภายหลังการส่งหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะได้รับคำชี้แจงภายใน 60 วัน ส่งผลให้เกิดการแก้ไขปัญหาเป็นรูปธรรม ผลักดันให้แผนทั้งหมดมีการพัฒนาการเป็นลำดับ รวมถึงได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณและมีสภาผู้บริโภคเข้ามาร่วมขับเคลื่อน ตลอดจนผลจากการประชุมในครั้งนี้จะทำให้เกิดการคลี่คลายปัญหาและทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
“จากมติของ ครม. เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2564 ได้มอบหมายให้ สำนักงาน กสทช. การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึง บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด จัดระเบียบสายไฟฟ้าเส้นทางหลักใน กทม. และต่างจังหวัด โดยเหตุปัญหาหลักมาจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สำนักงาน ป.ป.ช.) ได้ร่วมนำเสนอต่อ ครม. ภายหลังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติชื่อดัง เข้ามาเห็นสายขดม้วนของไทย พาดเกี่ยวไม่เหมือนที่อื่น ๆ” นายอิฐบูรณ์ กล่าว
สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานอนุกรรมการ ด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวย้ำว่า อยากเสนอแนะต่อ กสทช. ให้ปรับบทบาทจากผู้ประสานงานและทำแผน มาสู่การเป็นผู้นำเนื่องจาก กสทช. เป็นองค์กรอิสระที่มีทรัพยากร มีเงื่อนไข มีใบอนุญาต ดังนั้นหากผู้ประกอบการไม่ดำเนินการตามกฎหมายควรมีบทลงโทษทางปกครองต่อไปเพื่อร่วมจูงใจให้ผู้ประกอบการร่วมรับผิดชอบและทำให้เกิดความเกรงกลัว แต่หากผู้ประกอบการมีความกังวลเรื่องปัญหาโครงสร้างงบประมาณต้องแก้ไขต่อไป
นอกจากนี้ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อติดขัดในเรื่องกฎหมายในการดำเนินการ โดยสภาผู้บริโภคพร้อมรวบรวมข้อกฎหมายที่มีปัญหานำมาเสนอต่อรัฐบาลชุดใหม่ในการดำเนินการ เพื่อร่วมผลักดันให้พรรคการเมืองตระหนักและให้ความสำคัญเรื่องนี้ พร้อมร่วมขับเคลื่อนสู่วาระแห่งชาติต่อไป
“นโยบายเรื่องสายสื่อสารเป็นขาขึ้น ที่ผลักดันมาจากคนในพื้นที่ร้องมา เรื่องนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมของการบริหารทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ คิดถึงประโยชน์ตัวเอง และไม่แคร์ว่าคนอื่นเสียประโยชน์อย่างไร จึงอยากให้ทุกคนละประโยชน์ส่วนตัว ต้องคิดถึงประโยชน์สาธารณะ มีทางออกแก้ไขปัญหา” นางสาวสุภิญญา ระบุ
ขณะที่ ไพศาล ลิ้มสถิตย์ ศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะผู้จัดทำรายงานฯ ระบุว่า ได้จัดทำรายงานการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้บริโภคต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อ สำนักงาน กสทช. การ กฟน. และกฟภ. กรณีปัญหาสายสื่อสารไม่ปลอดภัย โดยการมีประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการใช้สิทธิในการปักหรือตั้งเสา หรือเดินสาย วางท่อ หรือติดตั้งอุปกรณ์ประกอบใดในการให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ. 2560 ที่ให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาสิทธิแห่งทาง ทำหน้าที่พิจารณาผัง การปักเสา และการเดินสายสื่อสาร รวมทั้งกำหนดหน้าที่ผู้รับใบอนุญาตตามข้อ 16 ต้องตรวจสอบ บำรุงรักษา และป้องกันอันตรายจากโครงข่ายของตนเอง
และตามข้อ 16.3 ต้องจัดระเบียบไม่ให้รกรุงรัง ทั้งสายที่ใช้งานและไม่ใช้งาน แต่เมื่อเกิดความเสียหายต่อประชาชน กลไกตามประกาศข้อ 23 กลับผลักภาระให้ผู้เสียหายต้องไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเอกชน ส่วนบทลงโทษเมื่อผู้ประกอบการไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ชัดเจน และหน่วยงานท้องถิ่นที่เห็นปัญหาหน้างานมีความลังเลเข้าไปจัดระเบียบ เพราะมีข้อห้ามทำลายหรือกระทบทรัพย์สินเอกชน
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องให้ กสทช. แก้ไขประกาศหลักเกณฑ์ฯ ปี 2560 เปิดอำนาจให้สำนักงาน กสทช. ในพื้นที่สั่งการแก้ไขปัญหาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอหน่วยงานกลาง จัดตั้งคณะทำงานจังหวัดที่มีภาคประชาชน และจัดตั้งกองทุนเยียวยาโดยหักค่าพาดสาย 15 – 20% เพื่อนำมาเป็นเงินสำหรับชดเชยผู้เสียหายอย่างเป็นธรรม
สำหรับ กฟน. ที่มีการกำหนดระเบียบปี 2566 ข้อ 11 กำหนดให้ผู้ขออนุญาตหรือเอกชน ต้องจัดการลดจำนวนสายที่ไม่ได้ใช้งาน และในกรณีที่ยานพาหนะเกี่ยวสายจนเกิดความเสียหายให้เอกชนต้องชดใช้ แต่เงื่อนไขค่าชดเชยที่ใช้จริงกลับต่ำมาก เช่น จ่ายเพียงราวสองหมื่นบาท ซึ่งไม่ครอบคลุมความเสียหายทางรายได้หรือการรักษาพยาบาล และยังมีการกำหนดกรอบเวลา/เงื่อนไขที่ในภาคสนามทำไม่ได้จริง ด้านการเปิดให้ผู้อื่นร่วมจัดระเบียบแล้วเรียกค่าใช้จ่ายคืนจากผู้ขออนุญาต แม้มีหลักการ แต่การบังคับใช้ยังไม่คืบ
ส่วน กฟภ. ระเบียบปี 2566 ข้อ 13 โอนภาระความรับผิดทั้งหมดไปยังผู้ขออนุญาตในกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหาย และแม้จะเปิดช่องให้ กฟภ. รื้อถอนสายที่ไม่ได้ใช้งานได้ตามข้อ 13.4 แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการจำนวนมากยังไม่ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับ กฟน. และ กฟภ. ควรกำหนดให้ผู้ให้บริการตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการทุกหกเดือน (หรืออาจน้อยกว่า) บังคับทำสัญญาประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สาม และเพิ่มระบบประกันความรับผิดชอบที่เฉลี่ยเยียวยาผู้เสียหาย พร้อมกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดการสายสื่อสารที่ไม่ปลอดภัยได้ ในระดับพื้นที่เสนอให้กระทรวงมหาดไทยทำหนังสือเวียนผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ แต่งตั้งคณะทำงานติดตามประเมินผลการพาดสายสื่อสารที่ไม่ปลอดภัยในระดับจังหวัด โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาให้มีการรายงานความคืบหน้าตามกรอบเวลา
อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 สังเคราะห์จากข้อร้องเรียนของผู้บริโภคและข้อเท็จจริงในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ สะท้อนภาพสายสื่อสารรกรุงรัง – อันตราย ที่ยังถูกปล่อยปละละเลยบนเสาไฟฟ้าในเขตชุมชน ทั้งที่มีกรอบกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีรองรับมาหลายปีให้จัดการและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อกังวลเรื่องการแสวงหาประโยชน์จากการปล่อยให้เอกชนพาดสายโดยไร้มาตรการกำกับ จนนำไปสู่ข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งแต่ปี 2563 ที่ชี้ให้เห็นการร้องเรียนจำนวนมากที่เกิดจากความปล่อยปละละเลยของหน่วยงานรัฐ เช่น กสทช. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ไม่จัดการสายสื่อสารรกรุงรังบนเสาไฟ จนเป็นเหตุอันตรายต่อผู้บริโภค แม้ต่อมา ครม. จะมีมติให้ กสทช. เป็นหน่วยงานหลักในการจัดระเบียบตั้งแต่ปี 2564 และมีรายงานว่ามีการดำเนินการแก้ไขปัญหาและนำสายลงดินบางส่วนในปี 2566 แต่ปัญหายังคงเกิดซ้ำและยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บต่อเนื่อง
ด้าน ชุตานันท์ คำแสง ผู้แทนจาก กสทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน กสทช. ได้ร่วมบูรณาการการขับเคลื่อนร่วมกับ กฟน. กฟภ. ได้ตามมติของ ครม. ที่ให้ทุกเส้นทางได้รับจัดระเบียบสื่อสารได้รับการสนับสนุนจากทั้ง กฟน. กฟภ. ส่วน กสทช. ได้บรรจุอยู่ในแผนรายปีที่ได้รับประมาณการสนับสนุนจาก กองทุน กทปส. ร่วมสนับสนุนกรอบวงเงิน 200 ล้านบาท และไม่สามารถสนับสนุนทั่วประเทศ โดยดำเนินการใน กทม. มุ่งพื้นที่ประชากรหนาแน่น ส่วนพื้นที่ไม่ได้อยู่ในเส้นทางผู้ประกอบการสามารถนำเงินค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนค่าธรรมเนียมในกองทุนกองทุนเพื่อบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน (กองทุน USO) และไม่เกิน 15% ที่จัดสรรเข้ากองทุน USO
สำหรับการปรับปรุงระบบสายสื่อสารให้เหลือเพียงรายเดียว (Single Last Mile) ได้จัดทำทั้งที่พื้นที่พัทยาเหนือ ถนนข้าวสาร และปัจจุบันที่ถนนข้าวสาร โดยมีบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) ดำเนินการให้ไปถึงผู้ใช้ปลายทาง ดังนั้นการดำเนินการที่ให้ผู้ประกอบการหนึ่งรายเข้าในพื้นที่จึงต้องศึกษาว่ามีผลกระทบด้านใด การมีข้อจำกัดในด้านใด โดยสำนักงาน กสทช. ต้องพิจารณาในเรื่องนี้ รวมถึงการออกนโยบายทั่วประเทศได้หรือไม่ หรือ ปรับสู่โครงการนำร่องเท่านั้น
นอกจากนี้ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกาศหลักเกณฑ์สิทธิแห่งทาง โดยการดำเนินการ ภายใต้ประกาศโทรคมนาคม มาตรา 39 – 41 ขอ งพ.ร.บ. กิจการโทรคมนาคม 2544 ที่การดำเนินการติดตั้ง เสา วางสาย หรือเดินท่อ อุปกรณ์โทรคมนาคม หรือการให้บริการกิจการโทรคมนาคม ต้องผ่านคณะกรรม กสทช. จึงได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการให้สิทธิแห่งทาง 7 คน ดำเนินการให้สิทธิดำเนินการในเส้นทางโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เสา หรือ ท่อ เป็นต้น รวมถึงการประกาศในข้อ 16.3 ในเรื่องการแก้ไขข้อร้องเรียน โดยข้อนี้มีจุดอ่อนยังไม่มีบทลงโทษ ดังนั้นในประกาศข้อนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงเรื่องขอใบอนุญาตและการเพิ่มบทลงโทษ ขั้นตอนขออนุญาตและเส้นทางลงท่อร้อยสาย ซึ่งกำลังผ่านเสนอเข้าบอร์ด กสทช. และประกาศลงพระราชกฤษฎีกาต่อไป ด้านการจัดทำกองทุนเยียวยาในเรื่องการแก้ปัญหาสายสื่อสารให้แก่ภาคประชาชนนั้น โดย กสทช. เห็นด้วยผู้ประกอบการจัดตั้งกองทุนเยียวยาในเรื่องการแก้ไขปัญหาให้แก่ภาคประชาชนที่ได้รับการดูแลและเยียวยาอย่างรวดเร็ว