Getting your Trinity Audio player ready... |

ชำแหละประมูลคลื่นความถี่ ภาคประชาชน – นักวิชาการ – รัฐวิสาหกิจ ประสานเสียงค้านผูกขาด เสนอชะลอ – ทบทวนเกณฑ์ประมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ
ในเวทีเสวนา “กสทช. กับการประมูลคลื่นความถี่ และผลประโยชน์ของประชาชน” ตัวแทนจากภาคประชาชน นักวิชาการ และผู้แทนรัฐวิสาหกิจได้ร่วมกันสะท้อนความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อการประมูลคลื่นความถี่ 4 ย่านที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการประเคนคลื่นให้แก่เอกชนโดยปราศจากหลักประกันต่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
เชิดชัย กัลยาวุฒิพงษ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ แสดงความกังวลต่อกระบวนการประมูลคลื่นความถี่ที่กำลังจะเกิดขึ้นว่า หากปล่อยให้บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที (NT) หลุดออกจากตลาด จะส่งผลให้โครงสร้างผู้ให้บริการโทรคมนาคมเหลือเพียงสองรายหลัก ถือเป็นภาวะผูกขาดสมบูรณ์ที่กระทบต่อทั้งประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการและระบบเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ตาม แม้เอ็นทีจะมีคลื่นความถี่ในครอบครอง แต่ขาดโครงข่ายหลักและการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคากับผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดบรอดแบนด์ (อินเทอร์เน็ตบ้าน) และบริการเคลื่อนที่ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน สะท้อนว่าความอยู่รอดของเอ็นที อยู่ในภาวะวิกฤต หากเกิดการซื้อกิจการลูกค้าจากเอกชนจนหมด จะเท่ากับว่าเอ็นทีพ้นสถานะผู้ให้บริการโดยสมบูรณ์ และประชาชนจะไม่มีทางเลือกอื่นในตลาดอีกต่อไป
“การจัดสรรคลื่นควรคำนึงถึงความหลากหลายในตลาด และป้องกันไม่ให้กลไกตลาดถูกผูกขาดโดยเอกชน โดยเรียกร้องให้ กสทช. กำกับดูแลด้วยความเป็นธรรม สร้างโครงสร้างราคาที่ตรวจสอบได้ และกันคลื่นย่านกลางไว้ใช้เพื่อสาธารณะ ไม่ใช่ส่งมอบทรัพยากรของชาติเข้าสู่มือกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย” เชิดชัยระบุ
พร้อมเสนอให้ภาครัฐพิจารณาใช้โมเดลสัมปทาน เพื่อให้เอ็นทีสามารถทำหน้าที่สนับสนุนนโยบายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของชาติ โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการประมูลเชิงพาณิชย์ ทั้งยังอ้างอิงถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เคยเห็นชอบให้เอ็นทีเป็นหน่วยงานดำเนินการด้านโครงข่ายเพื่อความมั่นคงในช่วงควบรวมกิจการ
ด้าน อิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดประมูลคลื่นความถี่ในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบันมีผู้ใช้งานราว 116 ล้านเลขหมาย แต่กลับมีผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย คือ ทรู (True) ที่ครองตลาดถึง 54.29% และเอไอเอส (AIS) อีกประมาณ 43% ขณะที่เอ็นที ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภาครัฐมีส่วนแบ่งเพียง 2.66% เท่านั้น สถานการณ์นี้ส่งผลให้ดัชนีความกระจุกตัวของตลาด (HHI) พุ่งสูงถึง 4,800 จุด ในขณะที่ระดับที่สะท้อนถึงการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพควรอยู่ที่ประมาณ 2,500 จุด
อิฐบูรณ์ ตั้งคำถามต่อการผลักดันให้เอ็นทีเปิดให้เช่าคลื่นความถี่ให้เอกชนรายใหญ่ ขณะที่ตัวเองไม่มีบทบาทในการประมูล ทั้งที่คลื่นเหล่านี้เป็นสมบัติสาธารณะของแผ่นดิน การเปิดประมูลโดยที่มีผู้ร่วมแข่งขันเพียง 2 ราย ยิ่งตอกย้ำถึงการขาดทางเลือกของผู้บริโภค และเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ขณะเดียวกันยังไม่มีหลักประกันใด ๆ ในการควบคุมราคาหรือคุณภาพบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบางที่ควรได้ใช้บริการในราคาที่ต่ำและเข้าถึงได้ กลับต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ จนนำไปสู่การที่สภาผู้บริโภคยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในหลายกรณี พร้อมตั้งคำถามว่า การจัดสรรคลื่นในครั้งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงหรือไม่
ส่วน ดร.สุพจน์ เธียรวุฒิ อนุกรรมการด้านการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช. อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ได้วิเคราะห์ภาพรวมโครงสร้างการถือครองคลื่นความถี่ในปัจจุบันว่า การแข่งขันในตลาดแทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผู้ให้บริการรายใหม่ถูกกันออกจากระบบด้วยเงื่อนไขที่สูงเกินจริง เช่น การกำหนดให้ครอบคลุมทุกตำบลถึง 50% ภายในสองปี ทำให้เกิดสภาพตลาดโทรคมนาคมที่เอื้อต่อผู้เล่นรายเดิมเป็นหลัก
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจากตารางการถือครองคลื่นพบว่าเอไอเอส และทรู ถือครองทั้งคลื่นย่านความถี่ต่ำ (700 – 900 เมกะเฮิรตซ์), คลื่นย่านความถี่กลาง (1800 – 2600 เมกะเฮิรตซ์) และคลื่นย่านความถี่สูง (26 กิกกะเฮิร์ทซ) อย่างสมบูรณ์ ในขณะที่เอ็นที ที่แม้จะมีคลื่นบางส่วนในย่าน 2100 และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ แต่ยังขาดแคลนโครงข่ายและทุนสนับสนุนในการแข่งขัน
ดร.สุพจน์ ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดราคาคลื่นความถี่ของ กสทช. ในหลายช่วงไม่สอดคล้องกับข้อมูลต้นทุนหรือความเป็นจริงของตลาด
“โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับราคาการประมูลในต่างประเทศ หรือการพยากรณ์แนวโน้มการใช้ประโยชน์ในอนาคตที่ควรจะสูงขึ้น ขณะที่ความล้มเหลวของเทคโนโลยี 5G ที่ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างชัดเจนจาก 4G ในชีวิตประจำวัน ยิ่งตอกย้ำว่าการประมูลที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่สร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง พร้อมเสนอให้เอ็นที ปรับบทบาทเป็นผู้ให้บริการพื้นฐานของรัฐ เพื่อคานอำนาจเอกชนและรับผิดชอบโครงสร้างความมั่นคงทางดิจิทัล” ดร.สุพจน์อธิบาย
ในด้านนโยบาย เขาเสนอว่า กสทช. ควรจัดสรรคลื่นกลางบางส่วนเพื่อสาธารณะ เป็นลักษณะเครือข่ายส่วนตัว (Private Network) หรือเครือข่ายเฉพาะที่ (Local Network) ให้ใช้ได้โดยไม่ต้องประมูล เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งกันคลื่นบางส่วนไว้ให้หน่วยงานรัฐ โรงงาน และชุมชนใช้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการเอกชนทั้งหมด พร้อมเรียกร้องให้เพิ่มบทบาทการกำกับดูแลอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านราคา คุณภาพ และการตรวจสอบระบบไอทีของผู้ให้บริการ เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับระบบการเงิน เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดเชิงโครงสร้างที่ประชาชนไม่มีทางเลือกและรัฐไม่มีอำนาจควบคุม
แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม เปิดเผยว่า โครงสร้างการประมูลคลื่นความถี่ในประเทศไทยในปัจจุบันถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ผ่านโมเดล “สามเหลี่ยมอุปถัมภ์” ซึ่งมีภาคราชการอยู่ฐานล่าง พรรคการเมืองเป็นแกนกลาง และกลุ่มทุนอยู่จุดสูงสุด โดยไม่มีภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สะท้อนภาพของการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม พร้อมเสนอว่า การจัดสรรคลื่นควรเปลี่ยนแนวทางไปสู่ระบบที่ยึดธรรมาภิบาลและสังคมเป็นตัวตั้ง เช่น บิวตี้ คอนเทสต์ (Beauty Contest) ที่เน้นศักยภาพในการให้บริการและประโยชน์ต่อประชาชน มากกว่าการแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว
สำหรับ สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการนโยบายสภาผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง กสทช. มีเป้าหมายเพื่อดึงคลื่นความถี่จากภาครัฐมาเข้าสู่ระบบใบอนุญาตแทนระบบสัมปทาน และเปิดให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างโปร่งใส แต่ในความเป็นจริง กลับเกิดการกระจุกตัวของตลาดอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีผู้เล่นหลากหลายหลังการประมูล 3G กลับเหลือเพียงสองรายหลักที่ครอบครองคลื่นความถี่หลักของประเทศ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพื้นที่คลื่นเพื่อกิจการสาธารณะ และทำลายหลักการเพื่อประโยชน์สาธารณะที่เคยเป็นหัวใจของการจัดสรรคลื่น
“การที่คลื่นความถี่สำคัญอยู่ในมือของเอกชนเพียงสองราย ย่อมส่งให้เกิดอำนาจเหนือตลาด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูล การทำธุรกรรม และการเรียนรู้พึ่งพาระบบสื่อสารอย่างเข้มข้น ย่อมส่งผลให้กระทบกับความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” สุภิญญาเตือน
แม้ปัจจุบันคณะกรรมการของบริษัทเหล่านี้จะเป็นคนไทย แต่หากมีการเปลี่ยนมือไปยังต่างชาติในอนาคต รัฐอาจสูญเสียอำนาจกำกับดูแลอย่างสิ้นเชิง หากระบบล่มหรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ การควบคุมสถานการณ์อาจไม่สามารถทำได้ทันท่วงที ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ไม่ควรประมาท
ณีรนุช จิตต์สม รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ย้ำว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในระยะหลังมีความแยบยลมากขึ้น ผ่านการลดบทบาทและบิดเบือนภารกิจหลักของรัฐ ซึ่งการปล่อยให้เอ็นทีค่อย ๆ หายไปจากตลาดโทรคมนาคมเท่ากับการล้มระบบตัวเลือกของประชาชน
“รัฐต้องจริงใจในการรักษาบทบาทรัฐวิสาหกิจ การขาดทุนที่เกิดจากการให้บริการสาธารณะนั้นคือผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน และควรทำให้เอ็นทีปลอดจากการครอบงำทางการเมือง เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เชิงนโยบายได้อย่างแท้จริง” ณีรนุชให้ความเห็น