
การที่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์หันมาทำหน้าที่ รีวิวสินค้า สุขภาพเชิงพาณิชย์ ไม่เพียงแต่เป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อความน่าเชื่อถือของวงการแพทย์และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะเมื่อการสวม “เสื้อกาวน์” แนะนำสินค้าหน้ากล้อง อาจกลายเป็นเครื่องมือโฆษณาที่ใช้สร้างความเชื่อมั่นเพื่อขายสินค้า การกระทำนี้ก่อให้เกิด “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นในยุคดิจิทัล เมื่อบุคลากรที่ดูแลสุขภาพประชาชน นำเอาสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อถือมาขายสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ
เส้นแบ่งระหว่าง “ให้ความรู้” และ “ส่งเสริมการขาย”
การที่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เช่น เภสัชกร หรือทันตแพทย์ หันมาทำหน้าที่รีวิวหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพในเชิงพาณิชย์ ถือเป็นปัญหาสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างง่ายดาย ทำให้เกิดเทคนิคการโฆษณาแฝง เช่น การให้ข้อมูลด้านสุขภาพเพื่อสร้างความสนใจ และเชิญชวนให้ผู้สนใจทิ้งข้อความไว้เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัวในภายหลัง
ภก.ภาณุโชติ ทองยัง อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ สภาผู้บริโภค กล่าวว่าแม้การที่แพทย์หรือเภสัชให้ข้อมูลด้านสุขภาพต่อสาธารณะนั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลนั้นถูกนำเสนอในลักษณะที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า “หากไม่บริโภคผลิตภัณฑ์นั้น อาจเป็นอันตราย” ซึ่งถือว่าเป็นการโฆษณาที่อาศัยวิชาชีพ และเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
บทบาทที่แท้จริงของแพทย์คือการให้คำแนะนำทางการแพทย์อย่างเป็นกลางบนพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อแพทย์ใช้ความน่าเชื่อถือที่สร้างมาจากวิชาชีพมาเป็นเครื่องมือในการเสนอขายสินค้า จะทำให้เกิด “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) ซึ่งส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้ที่หลงเชื่อ
เช่นเดียวกันกับ เภสัชกร แม้จะมีสิทธิเปิดร้านขายยาและให้ข้อมูลทางวิชาการได้ แต่ไม่ควรนำสถานะของตนในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ ไปใช้ในการรับรองหรือการันตีว่าต้องใช้ สินค้าใดสินค้าหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และบิดเบือนเจตนาของการให้คำแนะนำทางสุขภาพ
บทบาทที่ควรยึดมั่นของแพทย์และเภสัชกร
เมื่อถามว่าทำไมแพทย์ถึงต้องมีจรรยาบรรณ ภก.ภาณุโชติ ให้ความเห็นว่า เพราะผู้ประกอบวิชาชีพ อย่างแพทย์หรือเภสัชกร เป็นกลุ่มคนที่สังคมให้ความเชื่อถือสูง ผู้บริโภคมักจะเลือกเชื่อก่อนเสมอ มากกว่าคนธรรมดา
“เพราะถ้าบุคลากรในทางด้านการแพทย์พูด คนเราพร้อมที่จะเชื่อถือมากกว่า ถ้าคนที่พูดเป็นแพทย์มันเห็นชัดว่าเขาจะต้องเลือกซื้อสินค้านั้นก่อน ถึงต้องมีคําว่า “จรรยาบรรณ” มาครอบคลุม เพราะว่าคุณได้เปรียบกว่าคนอื่นในสังคม”
ภก.ภาณุโชติ ขยายความว่า แพทย์มีหน้าที่สำคัญคือการดูแลสุขภาพของประชาชน ไม่ใช่ทำการตลาดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การที่แพทย์ออกมารีวิวหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพในลักษณะเชิงพาณิชย์ ถือเป็นการละเมิดจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างร้ายแรงถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพราะบทบาทของแพทย์คือการให้คำแนะนำทางการแพทย์อย่างเป็นกลาง บนพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การเสนอขายสินค้าหรือสร้างรายได้จากความเชื่อมั่นของผู้ป่วย
ซึ่งจากข้อมูลในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แพทยสภาเปิดเผยว่า มีแพทย์ถูกลงโทษจากกรณีรีวิวหรือโฆษณาสินค้าเกินจริงแล้วถึง 15 ราย
แพทย์จริงแน่หรือ?
ปัจจุบันผู้บริโภคพบเห็นแพทย์ออกมารีวิวหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีหลัก
กรณีแรกคือ เป็นแพทย์จริง แต่กระทำผิดจรรยาบรรณและกฎหมาย แม้บุคคลนั้นจะมีใบประกอบวิชาชีพแพทย์จริง แต่การโฆษณาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในลักษณะโอ้อวดเกินจริง ถือเป็นการละเมิดจริยธรรมของแพทยสภา
อีกกรณีหนึ่งคือ เป็นมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นแพทย์ ซึ่งพบได้บ่อยในโลกออนไลน์ โดยมักใช้รูปภาพ ชื่อ หรือข้อมูลของแพทย์ตัวจริงมาแอบอ้างเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณฑ์ปลอม หรือสินค้าอันตรายที่ไม่มีการรับรอง แพทย์เจ้าของชื่อจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของการแอบอ้างในลักษณะนี้
นอกจากนี้ ยังมีกรณีของ อินฟลูเอนเซอร์ที่โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกินจริง เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ต้องจับตามองในสังคม โดยเฉพาะในยุคที่อินฟลูเอนเซอร์มีอิทธิพลสูงต่อพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น การอ้างว่าผลิตภัณฑ์สามารถรักษาโรค เสริมภูมิคุ้มกัน หรือลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องอาศัยคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้ประชาชนหลงเชื่อ และใช้ผลิตภัณฑ์โดยไม่เข้าใจความเสี่ยงที่แท้จริง อีกทั้ง สิ่งที่น่ากังวลคือ อินฟลูเอนเซอร์จำนวนมาก ไม่ได้มีความรู้เฉพาะทางด้านสุขภาพหรือโภชนาการ แต่กลับใช้ความนิยมในโลกออนไลน์เป็นเครื่องมือสร้างยอดขายให้กับสินค้า
โฆษณาแบบ “เลี่ยงบาลี” เทคนิคขาย “แบบแพทย์ ๆ”
กฎหมายอย่าง พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 40 ระบุว่าห้ามโฆษณาในลักษณะที่เป็น “เท็จ หรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยไม่สมควร” และห้ามกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริง แต่ช่องโหว่คือการที่ผู้โฆษณามักไม่ใช้คำว่า “รักษา” “หาย” หรือ “ป้องกัน” โดยตรง แต่จะใช้คำที่สื่อความหมายในทำนองเดียวกัน เช่น
เปลี่ยนจาก “รักษาโรคเบาหวาน” เป็น “ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด” ซึ่งเป็นคำที่ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์และดูไม่เกินจริง
เปลี่ยนจาก “ลดน้ำหนัก 10 กิโล” เป็น “ช่วยบล็อกแป้งและไขมัน ทำให้รูปร่างดีขึ้น” เป็นการกล่าวอ้างคุณประโยชน์ในเชิงอ้อม ๆ
ใช้การรีวิวแบบเล่าประสบการณ์ โดยให้ข้อมูลเชิงบวกอย่างเดียว เช่น “คุณหมอทานแล้วผิวดีขึ้นมาก” หรือ “คนไข้แนะนำมาว่าช่วยให้หลับสบายขึ้น” โดยไม่ได้กล่าวอ้างสรรพคุณโดยตรงแต่สร้างความเชื่อมั่นผ่านประสบการณ์ส่วนตัว
ซึ่งการใช้ภาษาลักษณะนี้ทำให้การพิสูจน์เจตนาว่า “หลอกลวง” ทำได้ยาก เพราะผู้กระทำอ้างได้ว่าไม่ได้กล่าวอ้างสรรพคุณโดยตรง และเป็นเพียงการแบ่งปันประสบการณ์เท่านั้น
การใช้ความน่าเชื่อถือทางอ้อม
จรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ห้ามการใช้สถานะแพทย์ไปรับรองหรือโฆษณาสินค้าเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ช่องโหว่คือการโฆษณาแบบไม่แสดงตัวว่าเป็นการโฆษณา เช่น
การจัดไลฟ์ให้ความรู้ เกี่ยวกับภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น ภาวะภูมิแพ้ หรือความเครียด จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการ “แนะนำ” อาหารเสริมบางยี่ห้อแบบเนียน ๆ โดยที่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสปอนเซอร์
การสร้างเนื้อหาเชิง “ให้ข้อมูล” บนโซเชียลมีเดีย เช่น ทำคลิปให้ความรู้เรื่องวิตามิน แต่ในเนื้อหากลับพาดพิงถึงผลิตภัณฑ์ของตัวเองเป็นหลัก โดยไม่ได้กล่าวว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตนเองขาย ทำให้ดูเหมือนเป็นการให้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญมากกว่าการโฆษณา
ด้วยเหตุนี้ ภก.ภาณุโชติจึงให้ความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่หลายวิชาชีพควร ปรับปรุงเกณฑ์และจรรยาบรรณให้เท่าทันยุคปัจจุบัน และวางระบบเพื่อคัดกรองให้แน่ใจว่า ข้อมูลที่ส่งถึงประชาชนเป็นข้อมูลที่สร้างเสริมสุขภาพจริง ไม่ใช่ข้อมูลที่โน้มน้าวเพื่อการขายสินค้า
เขาเสนอว่า ในอนาคตควรมีการกำหนดกติกาที่ชัดเจน เช่น หากใครจะทำหน้าที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์รีวิวผลิตภัณฑ์ ต้องมีการขึ้นทะเบียน จดทะเบียน หรือมีระบบตรวจสอบให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้การโฆษณาอยู่ภายใต้กรอบที่รับผิดชอบ
ทำไมถึงลงโทษไม่ได้ในบางกรณี?
“ช่องโหว่” ที่สำคัญของกฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่การขาดบทลงโทษเท่านั้น แต่เป็นการที่กฎหมายตามไม่ทัน “เทคนิคการโฆษณาแฝง” ที่ซับซ้อนและแนบเนียนในยุคดิจิทัล ซึ่งทำให้ยากต่อการเอาผิดได้อย่างตรงไปตรงมา
การเอาผิดต้องอาศัยหลักฐานที่ชัดเจนว่าการกระทำนั้นเข้าข่าย “หลอกลวง” หรือ “อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง” จริง ๆ ซึ่งคำพูดที่กำกวมหรือการรีวิวแบบอ้อม ๆ ทำให้การรวบรวมหลักฐานเพื่อพิสูจน์เจตนาทำได้ยาก เนื่องจากผู้กระทำสามารถอ้างได้ว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานในการตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดี
ทั้งนี้ยังมีข้อจำกัดของคณะกรรมการจรรยาบรรณ เพราะแม้จะมีโทษทางจรรยาบรรณ แต่การพิจารณาโทษก็ต้องอาศัยการร้องเรียนและหลักฐานที่ชัดเจนจากผู้เสียหาย ซึ่งหลายครั้งผู้บริโภคอาจไม่ทราบว่ากำลังถูกหลอก หรือไม่มีเวลาและช่องทางในการร้องเรียนอย่างเป็นทางการ ทำให้การเอาผิดทำได้ยากในทางปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ เภสัชกร บุคคลมีชื่อเสียง หรืออินฟลูเอนเซอร์ หากมีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในลักษณะเกินจริง ก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 เช่นกัน
ผิดกฎหมายตามมาตรา 40 คือห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารในลักษณะที่เป็นเท็จ หรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยไม่สมควร บทลงโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (ตามมาตรา 70)
รวมถึงผิดกฎหมายตามมาตรา 41 หากต้องการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหาร ผ่านวิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ หรือสื่ออื่นเพื่อประโยชน์ทางการค้า ต้องยื่นขออนุญาตจากผู้มีอำนาจก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงสามารถโฆษณาได้ บทลงโทษ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท (ตามมาตรา 71)
“ร่าง พรบ.อาหาร ฉบับผู้บริโภค” ปิดช่องโหว่รีวิวเกินจริง
ภก.ภาณุโชติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตอนนี้สภาผู้บริโภคกำลังผลักดัน ร่างพระราชบัญญัติอาหาร (ฉบับที่…) ซึ่งอยู่ระหว่างรอนายกพิจารณา นอกจากเป็นความพยายามในการ “ยกเครื่อง” กฎหมายอาหารที่ใช้งานมานานกว่า 45 ปี ยังจะเป็นการปรับกฎหมายให้ทันกับบริบทสื่อในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหาช่องโหว่เรื่องการโฆษณาในโลกออนไลน์ ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมถึงกรอบกติกาของผู้รีวิวสินค้าในโลกโซเชียล
“กฎหมายเดิมเขียนขึ้นในยุคที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีคำว่าอินฟลูเอนเซอร์ด้วยซ้ำ วันนี้เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มคำนิยาม เช่น สื่อโฆษณา ให้ครอบคลุมถึงสื่อดิจิทัล และ ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร ให้รวมถึงผู้รีวิว ผู้โฆษณา” ภก.ภาณุโชติ กล่าว
เขาชี้ว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับใหม่จะเข้มงวดขึ้น โดยครอบคลุมบุคคลทุกกลุ่มที่มีบทบาทในการโฆษณาอาหาร ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงผู้รีวิวและพรีเซนเตอร์ที่ร่วมโฆษณาสินค้า หากพบว่าเนื้อหาการโฆษณาเข้าข่ายหลอกลวงหรือโอ้อวดเกินจริง จะมีบทลงโทษทั้งจำและปรับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง