Ribbon

เมื่อโปรดัดผมสุดคุ้ม กลายเป็นบทเรียนสุดเจ็บ กับร้านเสริมสวยไม่ตรงปก

เมื่อโปรดัดผมสุดคุ้ม กลายเป็นบทเรียนสุดเจ็บ กับร้านเสริมสวยไม่ตรงปก

เรื่องราวเริ่มต้นจากโพสต์โฆษณาในโซเชียล เมื่อร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งประกาศ “ยืดผม โปรโมชันดัดผม 888 บาท” เธอเห็นราคาและคำโฆษณา จึงสอบถามเพิ่มเติมว่าทางร้านสามารถดัดผมให้พองนุ่มมีน้ำหนักได้หรือไม่ และทางร้านยืนยันว่า “ทำได้หมด” พร้อมแสดงผลงาน และย้ำว่ามีประสบการณ์ทำผมกว่า 9–10 ปี คำพูดเหล่านี้เพียงพอให้เธอเกิดความมั่นใจ และตัดสินใจเข้ารับบริการในวันถัดไป

แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการดัดผมครั้งแรกไม่เป็นลอนตามต้องการ ช่างให้เหตุผลว่า “เกิดความผิดพลาดจากการทำผิดขั้นตอน” และขอแก้ทันทีโดยใส่น้ำยาดัดผมอีกครั้ง พร้อมใช้ความร้อนกับผมที่ยังเปียก

คุณบีได้ทักท้วงไปว่า “ผมยังเปียกอยู่ ทำแบบนี้ผมจะไม่ถูกทำลายเพิ่มขึ้นเหรอ” แต่ช่างยืนยันว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” และผลลัพธ์ที่ได้คือผมยังคงไม่เป็นลอน ช่างจึงนัดให้มาแก้ซ้ำอีกครั้งภายใน 3 วัน

ตัวเธอเองเกิดความกังวล และพิจารณาว่าจะกลับไปแก้ไขผมกับร้านเดิมหรือไม่ เพราะกลัวผมเสีย แต่เมื่อสระผมอีก 2 วันถัดไปจากวันที่ดัด ปรากฏว่า หลังจากสระผมมีสภาพชี้ฟูและไม่เป็นรูปทรง เธอจึงจำเป็นต้องกลับไปแก้ครั้งที่ 3

รอบนี้ผมเซ็ตตัวเป็นลอนได้ เธอจึงได้ชำระเงินค่าทำผม 888 บาท แต่หลังจากนั้น 2 วัน พบว่าผมของเธอเริ่มแสดงสัญญาณความเสียหายหนัก ทั้งแห้งกรอบ หยิกฟู ไม่เป็นทรง บางส่วนถึงขั้นเปื่อยและหลุดออก

เธอรีบติดต่อร้าน แต่กลับได้คำรับผิดชอบเพียง “ทางร้านจะคืนเงินให้ 600 บาท” และคำสัญญาว่าจะปรึกษาอาจารย์เพื่อหาทางแก้ไขให้ แต่หลังจากนั้นร้านก็เงียบหาย ไม่ติดต่อกลับ จนในเวลาต่อมาเมื่อเธอส่งรูปผมที่เสียให้ ร้านถึงขั้น บล็อกแชท ไม่รับสาย และไม่ติดต่อกลับ

จากความสิ้นหวัง… สู่การลุกขึ้นปกป้องสิทธิ

เมื่อติดต่อร้านไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจให้พี่สาวช่วยส่งข้อความพร้อมแจ้งว่าจะดำเนินการแจ้งความ ช่างจึงติดต่อกลับมา และยอมรับว่าเกิดจากความผิดพลาดในขั้นตอนการทำ ซึ่งน้ำยาที่ใช้ดัดเป็นน้ำยาตัวใหม่ และอ้างว่าช่างทำผมหลายคนที่ทำก็เกิดปัญหาขึ้นกับลูกค้า เธอรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกใช้เป็น “หนูทดลอง”

หลังจากผมเริ่มเสียหายหนักขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงตัดสินใจเข้าประเมินสภาพผมกับช่างผู้เชี่ยวชาญ เมื่อตรวจอย่างละเอียด พบว่าความเสียหายเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ทำผมครั้งแรก ที่มีอาการช็อต อย่างรุนแรง ตั้งแต่โคนจรดปลาย ขณะที่ผมด้านหน้าฝั่งขวาก็อยู่ในสภาพเปื่อยยุ่ย เกิดจากการสัมผัสน้ำยาเคมีเข้มข้นเกินพอดี

นอกจากเส้นผมที่เสียหายอย่างหนักแล้ว หนังศีรษะของเธอก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน มีอาการแห้งลอกเป็นแผ่น เป็นตุ่มแดง และมีแผลจากการโดนน้ำยาเคมี ส่งผลให้ผมร่วงมากผิดปกติ ช่างจึงแจ้งว่าในช่วงนี้ “ไม่สามารถทำอะไรกับเส้นผมได้มากนัก” และจำเป็นต้องรักษาหนังศีรษะให้หายดีเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยเริ่มฟื้นฟูเส้นผมในลำดับถัดไป

การประเมินค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลผม มียอดรวมประมาณ 12,000 บาทตลอดหนึ่งปี เมื่อเธอได้แจ้งมูลค่าความเสียหายไปกับร้าน ได้คำตอบว่า “เป็นค่าใช้จ่ายที่เกินไป และไม่สามารถรับผิดชอบได้” ทำให้ไม่สามารถตกลงกันได้ เธอจึงเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจ และเข้ารับการตรวจหนังศีรษะที่โรงพยาบาลในวันเดียวกัน เพื่อยืนยันความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมร้องเรียนมาที่หน่วยงานประจำจังหวัดเชียงใหม่ สภาผู้บริโภค

“จากความเสียหายที่ได้รับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะสูญเสียทั้งเงิน เวลา และสภาพจิตใจอย่างหนัก จนไม่กล้าออกไปพบปะผู้คน แม้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพราะภาระงาน แต่ความมั่นใจเรานั้นลดลงอย่างมาก หวังว่าหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้จะช่วยให้ความเป็นธรรม และปกป้องสิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” เธอเผยถึงความในใจหลังจากร้องเรียนมาที่หน่วยงานฯ

หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับผู้บริโภคอย่างละเอียด เพื่อให้เธอประเมินความเสียหายและระบุจำนวนเงินชดเชยที่ต้องการ ซึ่งเธอได้กำหนดไว้ที่ 12,000 บาท จากนั้น หน่วยงานฯ เริ่มกระบวนการประสานงาน โดยเตรียมออกหนังสือเชิญผู้ประกอบการมาเจรจาไกล่เกลี่ย และติดตามเคสอย่างใกล้ชิด

หลังจากเรื่องร้องเรียนเกิดขึ้นไม่นาน หน่วยงานฯ ได้ติดต่อผู้บริโภคเพื่อสอบถามความเคลื่อนไหว และได้รับแจ้งว่าได้เข้าไกล่เกลี่ยกับตำรวจอีกครั้ง และผู้ประกอบการยินยอมชดใช้ตามจำนวนที่เรียกร้อง คือ 12,000 บาท

แม้ว่า ผู้ประกอบการจะยินยอมชดใช้เยียวยา แต่หน่วยงานฯ ยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ติดตามการโอนเงินชดเชยเพื่อให้มั่นใจว่าผู้บริโภคได้รับเงินครบถ้วน ซึ่งผู้บริโภคยืนยันว่าได้รับการโอนแล้ว และเหลือเพียงงวดสุดท้ายในเดือนธันวาคม

ต้อง ‘รู้สิทธิ’ และกล้าใช้สิทธิ

เจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียน ได้สะท้อนว่า ผู้บริโภครายนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของการรู้สิทธิ อย่างแท้จริง เพราะเมื่อได้รับความเสียหายเธอพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้รับการเยียวยาตามสิทธิที่ควรจะได้ จึงอยากแจ้งให้ผู้บริโภคทุกคนรับรู้ว่าเมื่อเกิดความเสียหาย ผู้บริโภคทุกคนมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือหรือเยียวยา

ทั้งนี้ แม้ทางร้านจะมองว่าค่าชดเชย 12,000 บาท ไม่คุ้มกับค่าบริการในราคาโปรโมชั่นเพียง 888 บาท แต่ความเป็นธรรมต้องเกิดขึ้นตามสิทธิ ไม่ใช่ตามความรู้สึกของผู้ประกอบการ เธอฝากถึงผู้บริโภคคนอื่น ๆ ว่า ต้องรู้เท่าทันบริการ รู้เท่าทันสิทธิของตนเอง และเมื่อได้รับบริการไม่ตรงตามที่ตกลงไว้ ควรใช้สิทธิร้องเรียนอย่างเหมาะสม

กรณีนี้ยังเปิดประเด็นสังคมเรื่องคุณภาพของร้านเสริมสวยและความรับผิดชอบของผู้ประกอบการ ผู้บริโภคเลือกใช้บริการเพราะเชื่อคำอ้างเรื่องประสบการณ์กว่า 9–10 ปี และภาพผลงานจำนวนมาก แต่ผลลัพธ์กลับไม่ต่างจากคนที่เพิ่งจบใหม่ สะท้อนปัญหาการสื่อสารที่ไม่ตรงความจริง ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังขาดความรู้ด้านกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ส่งผลให้เมื่อเกิดปัญหาจึงมักปฏิเสธความรับผิดชอบ หากมีกรณีเช่นนี้เป็นบทเรียน จะช่วยให้ผู้ประกอบการ ใส่ใจผู้บริโภคมากขึ้น ระมัดระวังในการใช้วัตถุดิบ อุปกรณ์ และให้บริการอย่างตรงไปตรงมามากกว่าเดิม

ทั้งนี้ หากผู้บริโภคได้รับความเสียหาย พบเจอบริการไม่ได้มาตรฐาน หรือผู้ประกอบการไม่รับผิดชอบ อย่าเก็บความเจ็บไว้คนเดียว เพราะสิทธิของผู้บริโภค มีไว้ให้ใช้ สามารถร้องเรียนมายังสภาผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์ https://www.tcc.or.th/  หรือโทร 1502 ในวันเวลาทำการ วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 17.00 น.

ชวนอ่านเรื่องเล่าผู้บริโภค