เร่ง คปภ. ทำ แผนดูแลผู้เอาประกัน หลัง บ. KWI เสี่ยงปิดกิจการ

เร่ง คปภ. ทำ แผนดูแลผู้เอาประกัน หลัง บ. KWI เสี่ยงปิดกิจการ

การทำประกันชีวิตเป็นการตัดสินใจด้านการเงินที่สำคัญ เนื่องจากเป็นสัญญาระยะยาวที่ผูกพันกับชีวิตและอนาคตของผู้บริโภค การเลือกซื้อกรมธรรม์ประเภทออมทรัพย์หรือบำนาญหมายถึงการวางแผนเก็บออมและคาดหวังผลตอบแทนต่อเนื่องในระยะยาว แต่ความเชื่อมั่นดังกล่าวอาจถูกสั่นคลอน

ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีคำสั่งให้ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) จำกัด (มหาชน) จัดทำรายงานตรวจสอบพิเศษ (Special Audit) และส่งผลการตรวจสอบภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 สถานการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้บริโภคต้องเพิ่มความรอบคอบก่อนการตัดสินใจทำประกัน

ความกังวลของผู้บริโภคต่อสิทธิในอนาคต

สิ่งที่ผู้บริโภคกังวลมากที่สุดกับ บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) ในประเด็นว่าจะได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเฉพาะกรมธรรม์แบบออมทรัพย์ที่กำลังจะครบกำหนดรับเงินคืนในอีก 1 – 3 ปีข้างหน้า หรือกรมธรรม์แบบบำนาญที่ต้องจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้เอาประกันเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณหรือสิ้นอายุขัย หากบริษัทประกันไม่สามารถดำเนินกิจการได้ต่อไป ผู้บริโภคเกิดความกังวลว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อรักษาสิทธิ และจะได้รับเงินคืนหรือผลประโยชน์ครบถ้วนตามที่สัญญาไว้หรือไม่

ขณะที่ในทางปฏิบัติยังมีข้อกังวลว่า การจ่ายชดเชยของกองทุนประกันวินาศภัยจะครอบคลุมกรมธรรม์ระยะยาว เช่น ประกันบำนาญ ที่กำหนดจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณหรือสิ้นอายุขัย ได้ครบถ้วนและเป็นธรรมเพียงใด ซึ่งขณะนี้กองทุนประกันวินาศภัยยังไม่สามารถชำระค่าชดเชยจากประกันโควิด 19 ได้ครบถ้วน และยังคงมีหนี้ค้างชำระกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี จึงจะสามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วน

สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ คปภ. เร่งสร้างความชัดเจน

โชติวิทย์ เกิดสนองพงศ์ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ผู้บริโภคต้องการคำตอบที่ชัดเจนจาก คปภ. ว่าหาก บริษัท เคดับบลิวไอ ประกันชีวิต (KWI) ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป ผู้เอาประกันจะต้องดำเนินการอย่างไร ช่องทางใดที่จะสามารถยื่นคำร้องขอรับเงินคืน และกองทุนประกันชีวิตจะเข้ามาทำหน้าที่จ่ายชดเชยได้อย่างไร

“สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้ คปภ. กำหนดมาตรการที่ชัดเจนในการชดเชยและเยียวยาผู้เอาประกันที่ยังอยู่ในสัญญา พร้อมทั้งชี้แจงความรับผิดชอบต่อกรณีที่ยังอนุญาตให้บริษัทจำหน่ายกรมธรรม์ ที่มีความเสี่ยงในอนาคต รวมถึง คปภ.ควรเร่งออกมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคและแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมสำหรับผู้เอาประกันของ KWI ประกันชีวิต พร้อมจัดให้มีช่องทางสื่อสารโดยตรง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการได้อย่างถูกต้อง” โชติวิทย์ กล่าว

ขณะเดียวกันได้เน้นย้ำว่า การซื้อประกันชีวิตเป็นสัญญาทางการเงินระยะยาวที่ผู้บริโภคมอบความไว้วางใจต่อบริษัทและหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้น หน่วยงานกำกับดูแลต้องทำหน้าที่อย่างเข้มงวด โปร่งใส และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าเมื่อเกิดวิกฤตขึ้น จะมีระบบการคุ้มครองที่ทำงานได้จริง และไม่ปล่อยให้ผู้บริโภคต้องเผชิญความเสี่ยงเพียงลำพัง

บทเรียนจากกรณีบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาต

กรณีของ KWI ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทประกันภัยต้องเผชิญปัญหาด้านฐานะการเงินและถูกจับตามองจากหน่วยงานกำกับ ในอดีตมีหลายบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันภัย และต้องเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชีโดยกองทุนประกันวินาศภัยหรือกองทุนประกันชีวิต ซึ่งสามารถตรวจสอบรายชื่อย้อนหลังได้จากเว็บไซต์กองทุนประกันวินาศภัย กรณีเหล่านี้สะท้อนว่า ผู้บริโภคควรตระหนักว่าการซื้อประกันไม่ใช่เพียงการพิจารณาผลตอบแทนหรือเบี้ยประกันที่จ่าย แต่ต้องคำนึงถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัทและมาตรการคุ้มครองของภาครัฐด้วย

ขณะที่บทเรียนจากบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตแสดงให้เห็นว่า เมื่อบริษัทมีปัญหาทางการเงิน ผลกระทบที่เกิดขึ้นย่อมตกอยู่กับผู้เอาประกันโดยตรง ทั้งการล่าช้าในการชดเชยสิทธิ การจำกัดวงเงินคุ้มครอง หรือความไม่ชัดเจนของเงื่อนไขในการจ่ายผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่ผู้บริโภคควรพิจารณาอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจทำสัญญาใหม่

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันความเสี่ยง

สภาผู้บริโภคแนะนำว่า ผู้ที่กำลังพิจารณาทำประกันชีวิตกับ KWI หรือบริษัทใด ๆ ก็ตาม ควรตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของบริษัทกับ คปภ. อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงอ่านเงื่อนไขกรมธรรม์โดยละเอียด โดยเฉพาะสิทธิการเวนคืนกรมธรรม์ การจ่ายผลประโยชน์กรณีครบกำหนด และเงื่อนไขกรณีบริษัทถูกเพิกถอนใบอนุญาต ผู้บริโภคควรติดตามข่าวสารจาก คปภ. และกองทุนประกันชีวิตอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสิทธิของตนเอง

อีกทั้ง เมื่อพิจารณารูปแบบประกันมี 4 แบบหลัก ได้แก่ 1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา ให้ความคุ้มครองชีวิตระยะสั้นหรือคุ้มครองหนี้สินค้า มีเวลาคุ้มครองที่ชัดเจน เช่น 5 ปี 10 ปี 15 ปี และ 20 ปี เป็นรูปแบบประกันที่ไม่ค่อยนิยมในไทยมากนัก เนื่องจากเป็นเบี้ยจ่ายทิ้ง และเมื่อครบกำหนดอายุกรมธรรม์แล้วไม่มีเงินเหลือคืนแก่ผู้ถือกรมธรรม์ แต่มีข้อดีคือ ให้ทุนประกันคุ้มครองที่สูงกว่าประกันรูปแบบอื่น

2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ให้ความคุ้มครองระยะยาวจนเสียชีวิต หรือสูงอายุ เช่น 90 ปี หรือ 99 ปี มีทั้งแบบชำระเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว เหมาะกับผู้ที่เป็นเสาหลักของครอบครัว โดยเบี้ยที่ส่งไปไม่ใช่เบี้ยจ่ายทิ้งทั้งหมด เนื่องจากมีมูลค่าเงินสดของกรมธรรม์ที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ตามเวลาการคุ้มครอง แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินสามารถขอกู้หรือเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินมาใช้ได้

3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นประกันผสมแบบระหว่างการคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน เนื่องจากประกันจะจ่ายเงินคืนเมื่อเสียชีวิตหรือครบสัญญา ถือเป็นเครื่องมือออมเงินที่หลายคนสนใจซื้อเพื่อสร้างวินัยการออมระยะยาว และได้รับอัตราผลตอบแทนสูงกว่าฝากธนาคาร โดยเบี้ยประกันที่จ่ายมีจำนวนสูงขึ้นตามจำนวนเงินออมที่ต้องการในระยะยาว

4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ ให้ความคุ้มครองรายได้ในช่วงเวลาเกษียณ โดยได้รับเงินคืนในรูปแบบคล้ายเงินบำนาญเป็นงวด ๆ หลังอายุ 55 ปี หรือ 60 ปี และได้รับเงินคืนจนครบกำหนดสัญญาหรือเสียชีวิต ถือเป็นประกันที่เน้นการออมเงินเป็นหลัก จึงคิดเบี้ยประกันที่สูง และให้ความคุ้มครองน้อยกว่าประกันชีวิตแบบอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละรูปแบบมีรายละเอียดที่แตกต่างต่างกัน จึงต้องศึกษาข้อมูลและรายละเอียดอย่างรอบด้าน อีกทั้งผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงการทำสัญญาที่มีเบี้ยประกันเกินกว่าที่จะรับภาระได้ และควรพิจารณาความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันเป็นหลัก ไม่ควรพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนที่เสนอมาในแง่ของดอกเบี้ยหรือเงินคืนเท่านั้น หากผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับความไม่เป็นธรรมจากการทำสัญญาประกันภัยในรูปแบบต่าง ๆ สามารถปรึกษา – ร้องเรียนกับ สายด่วน คปภ. โทร. 1186 ร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://complaintportal.oic.or.th/ หรือร้องเรียนกับสภาผู้บริโภค โทร. 1502 ร้องเรียนออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://complaint.tcc.or.th/complaint