
เตือนคลินิกเสริมความงาม ลูเซิร์น คลินิก (Luzern Clinic) เสนอขายคอร์ส พูดจาหว่านล้อมให้ซื้อบริการ ผู้บริโภคสูญเงินกว่า 6 ล้านบาท พฤติกรรมอาจเข้าข่ายฉ้อฉลและฝ่าฝืนกฎหมาย
สภาผู้บริโภคได้รับร้องเรียนจากผู้บริโภค กรณีถูกหว่านล้อมให้ซื้อคอร์สบริการเสริมความจาก ลูเซิร์น คลินิก (Luzern Clinic) พร้อมชักจูงให้ซื้อคอร์สและบริการเสริมจากคลินิกความงามซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่การสูญเสียเงินจำนวนกว่า 6 ล้านบาท จากการใช้บริการเพียง 4 ครั้ง ระหว่างวันที่ 13 – 27 กุมภาพันธ์ 2568
ผู้บริโภคให้ข้อมูลว่าจุดเริ่มต้นมาจากการได้พบเจ้าหน้าที่คลินิกความงามดังกล่าวตั้งบูธประชาสัมพันธ์บริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต โดยมีการเชิญชวนให้ลงทะเบียนเพื่อแลกรับของสมนาคุณเป็นแก้วเยติ แต่ถูกนำเข้าไปในบูธเพื่อสแกนใบหน้าและรับการตรวจสุขภาพเบื้องต้น เจ้าหน้าที่อ้างว่าพบปัญหาผิวหน้าแห้ง ส่วนผู้บริโภคยืนยันว่าไม่ได้มีความกังวลเรื่องความงาม แต่มีความกังวลเรื่องสุขภาพเพราะตัวเองมีภาวะ “ไขมันพอกตับ” พนักงานจึงแนะนำว่ามีคอร์สลดน้ำหนักและสลายไขมัน ที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาดังกล่าวได้ ผู้บริโภคจึงหลงเชื่อและซื้อคอร์สครั้งแรก 1 หมื่นบาท
ต่อมาพนักงานประจำบูธได้ชักจูงให้ลงไปที่ชั้น G เพื่อใช้บริการที่คลินิก เมื่อได้เข้าไปที่คลินิกจึงมีการแนะนำเจ้าหน้าที่คลินิกอีก 2 คน จากนั้นได้พูดจาชักชวนหว่านล้อมให้ซื้อคอร์สเพิ่ม เน้นอ้างในเรื่องสุขภาพที่ผู้บริโภคมีความกังวลมากสุดในระหว่างที่กำลังใช้บริการลดไขมันอยู่ ซึ่งผู้บริโภคมีอาการวิตกกังวลและตื่นตะหนัก (Panic) จึงได้ตกลงซื้อคอร์สในราคา 1 ล้านบาท ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในครั้งแรกรวมเป็นเงินทั้งหมด 1,010,000 บาท
ผู้บริโภคเล่าต่อว่า ยอมเสียเงินเพราะเจ้าหน้าที่คลินิกอ้างว่าคลินิกแห่งนี้มีหมอเป็นเจ้าของ และได้ตัดสินใจเข้าไปใช้บริการต่อให้จบคอร์สเนื่องจากจ่ายค่าบริการไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่ไปกลับต้องถูกชักจูงเสียเงินซื้อคอร์สเพิ่ม ครั้งที่ 2 จำนวน 1.5 ล้านบาท ครั้งที่ 3 จำนวน 2.5 ล้านบาท และครั้งที่ 4 จำนวน 1 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 6,010,000 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายด้วยบัตรเครดิตและโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร
อีกทั้งเมื่อเข้าไปใช้บริการเจ้าหน้าที่คลินิกจะเป็นคนทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคทำธุรกรรมทางโทรศัพท์มือถือไม่เก่งและเมื่อเวลารูดบัตรเครดิตเต็มวงเงิน เจ้าหน้าที่คลินิกก็จะกดโทรศัพท์เพื่อโทรไปเพิ่มวงเงินบัตรเครดิตให้ และให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายยืนยันตัวตนเท่านั้น รวมถึงการขอเพิ่มวงเงินในการโอนผ่านแอปธนาคาร เจ้าหน้าที่จะเป็นคนคอยชี้แนะ ทุกครั้งที่ไปคลินิก ซึ่งจากการไปเพียงคนเดียวจึงไม่กล้าปฏิเสธ สุดท้ายรู้สึกไม่ไหวและไม่กล้ากลับไปใช้บริการที่คลินิกอีก
ทั้งนี้หลังจากถูกหว่านล้อมและต้องจ่ายเงินรวมถึง 4 ครั้ง ผู้บริโภคจึงตัดสินใจเข้าพบทนายความและยื่นฟ้องคดีแพ่งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 เพื่อต้องการให้คลินิกเสริมความงามคืนเงินกลับมาเนื่องจากไม่ได้ใช้บริการครบทุกคอร์สและได้รับข้อมูลคลาดเคลื่อน โดยเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา มีการเจรจาเบื้องต้นและทางคลินิกเสนอคืนเงิน 1 ล้านบาท พร้อมอ้างว่าเป็นไปตามนโยบายของบริษัท เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้ไปร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) แต่เป็นกรณีคดีที่ผู้บริโภคฟ้องร้องแล้ว สคบ.จึงไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ ผู้บริโภคจึงได้ร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค
“เมื่อไปที่คลินิกถูกชักจูงให้ต้องซื้อคอร์สและจ่ายเงินเพิ่ม จนครั้งสุดท้ายบอกพนักงานว่า มีเงินในบัญชีประมาณ 4 หมื่นบาทเท่านั้น พนักงานก็บอกว่า ไม่เป็นไร ทำให้ต้องโอนเงินก้อนสุดท้ายไปที่คลินิก” ผู้บริโภค กล่าว
สภาผู้บริโภคเร่งตรวจสอบ ลูเซิร์น คลินิก ชี้เข้าข่ายผิดกฎหมายหลายข้อ
ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภค ได้ตรวจสอบเรื่องราวของผู้บริโภคพบการกระทำที่อาจผิดกฎหมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานการรับเงินที่ไม่เป็นไปตามประกาศของ สคบ. เรื่อง ให้ธุรกิจการให้บริการเสริมความงามเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน คือ ข้อความที่กำหนดว่าห้ามผู้บริโภคยกเลิกการใช้บริการ และข้อความที่กำหนดว่าจะไม่คืนเงินที่ผู้บริโภคได้ชำระมาแล้วไม่ว่ากรณีใด ๆ
ขณะเดียวกันเมื่อตรวจสอบวัตถุประสงค์การจดทะเบียนทางธุรกิจของบริษัท พบว่าบริษัทดังกล่าว จดทะเบียนประกอบกิจการ ตัดแต่งเล็บ ต่อขนตา เขียนคิ้ว สักคิ้ว และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทุกประเภท ไม่ได้จดทะเบียนประกอบธุรกิจเสริมความงาม ซึ่งเข้าข่ายการทำธุรกิจที่ผิดวัตถุประสงค์และอาจมีลักษณะวิธีการชักจูงที่ไม่เป็นธรรม การหว่านล้อม กดดันให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าโดยไม่เป็นธรรม รวมถึงพบว่ามีกรณีผู้บริโภคบางรายได้รับข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริงทางการแพทย์ หรือถูกเสนอขายคอร์สที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการจริง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายทั้งด้านสุขภาพและค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค มีแผนที่จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อตรวจสอบการดำเนินงานของคลินิกและยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ครบถ้วนหรือไม่ และในกรณีที่จำเป็น สภาผู้บริโภคได้มีการวางแผนในการดำเนินคดี โดยจัดหาทนายเข้าไปต่อสู้คดีเพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคต่อไป
ภัทรกร ได้เตือนภัยว่า ขอให้ผู้บริโภคใช้ความระมัดระวังในการรับบริการจากคลินิกเสริมความงามที่มีพฤติกรรม ยัดเยียดหรือโน้มน้าวให้ซื้อคอร์สเกินความจำเป็น รวมทั้งไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริการหรืออ้างว่าคอร์สสามารถรักษาโรคบางชนิดได้ โดยผู้แนะนำไม่ใช่บุคคลากรทางการแพทย์รวมถึงก่อนตัดสินใจใช้บริการควรตรวจสอบใบอนุญาตของคลินิกและแพทย์ผู้ให้บริการทุกครั้ง ขอเอกสารรายละเอียดคอร์สและเงื่อนไขการชำระเงินก่อนตัดสินใจ และหลีกเลี่ยงการโอนเงินหรือชำระล่วงหน้า หากยังไม่ได้รับข้อมูลครบถ้วน
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจใช้บริการใด ๆ ควรอาศัยสติและเหตุผล โดยผู้บริโภคมีสิทธิที่จะปฏิเสธหรือขอเวลาพิจารณาก่อนได้ ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจในทันที อีกทั้งควรรักษาทรัพย์สินของตนเอง ไม่ส่งมอบบัตรเครดิตหรือโทรศัพท์ให้ผู้อื่น เพื่อป้องกันการทำธุรกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบพฤติกรรมหลอกลวงฉ้อฉลหรือการขายไม่เป็นธรรม สามารถร้องเรียนได้ที่สภาผู้บริโภค ผ่านออนไลน์เว็บไซต์ tcc.or.th หรือ สายด่วน 1502
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



