
สภาผู้บริโภคชี้ คุมราคายาแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ค่ารักษา แพงสุดอยู่ที่ ‘ค่าธรรมเนียมแพทย์และบริการวิชาชีพ’ เป็นสัดส่วนถึง 45% ย้ำต้องคุมราคากลางต่อโรค
วันที่ 14 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดลงทะเบียน “ร้านยา สุขกาย สบายกระเป๋า” เพื่อเปิดทางให้ผู้ป่วยโรงพยาบาลเอกชนเลือกซื้อยาจากร้านภายนอกได้เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งมาตรการดังกล่าวถูกมองว่าเป็นความพยายามในการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านยาให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค ให้ความเห็นที่ว่า ปัญหาค่ารักษา พยาบาลที่สูงของโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้มีจุดกำเนิดหลักอยู่ที่ “ค่ายา” แต่อยู่ที่ค่าธรรมเนียมแพทย์และค่าบริการทางวิชาชีพ ซึ่งเป็นสัดส่วนถึง 45%
สารี กล่าวว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลเอกชนสูงขึ้น ได้แก่ ค่าธรรมเนียมแพทย์และค่าบริการทางวิชาชีพ เป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกระบุว่าเป็นส่วนที่แพงที่สุด โดยมีสัดส่วนสูงถึงประมาณ 45% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือเกือบครึ่งหนึ่งของค่ารักษาพยาบาล
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ค่ายาและค่าบริการ เช่น ค่าห้องพัก และ วัสดุทางการแพทย์ มีราคาสูงเกินจริง ยกตัวอย่างค่าห้องพักอาจสูงถึง 12,000 บาทต่อคืน ในบางโรงพยาบาล ซึ่งถือว่าแพงกว่าโรงแรม 5 ดาว เมื่อเทียบกับระบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในห้องพัก สำหรับค่ายา แม้จะถูกกล่าวถึงว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่โดยโครงสร้างของค่ารักษาพยาบาล กลับพบว่าค่ายาเป็นส่วนที่มีสัดส่วนประมาณ 5% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดเท่านั้น
สารี มีข้อเสนอว่า แม้รัฐบาลจะเริ่มกำกับดูแลค่ายาแล้ว แต่สิ่งที่ต้องเข้มงวดเพิ่มเติมคือ การกำหนดระบบราคาค่ารักษาพยาบาลที่เป็น ‘ราคากลางต่อโรค’ เพื่อให้ประชาชนมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าแพงหรือไม่ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็น รวมถึงที่ผ่านมาค่ารักษาพยาบาลของสิทธิบัตรทอง ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการไม่เคยถูกเทียบเคียงกับโรงพยาบาลเอกชนเลย ดังนั้นการมีราคากลางจะช่วยสร้างมาตรฐานได้
นอกจากนี้ งานวิจัยของสภาผู้บริโภคยังชี้ว่าการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉินนั้นไม่ได้ทำให้โรงพยาบาลเอกชนขาดทุน เพียงแต่กำไรอาจจะไม่เท่ากับการใช้เงินสดทั่วไป ซึ่งตอกย้ำว่าค่าธรรมเนียมแพทย์ที่สูงมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของ ค่ารักษา ควรต้องมีการกำกับดูแล ซึ่งหน่วยงานที่กำกับค่าธรรมเนียมแพทย์ก็คือแพทย์สภา แต่การใช้เพดานค่าธรรมเนียมแพทย์ที่เป็นอัตราสูงสุดของโรงพยาบาล ตรงนี้ก็อาจจะทำให้เกิดการ ค่ารักษา ที่สูงเกิน
“การควบคุมให้ค่าธรรมเนียมแพทย์มีความสมเหตุผลและไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อประชาชนมากจนเกินควร น่าจะเป็นก้าวแรกของการควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน เพื่อลดปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพงได้ในภาพรวม” สารีกล่าว
ทั้งนี้ หลักการของโรงพยาบาลเอกชนในต่างประเทศโดยทั่วไป ได้รับการยอมรับว่าเป็นธุรกิจที่ให้บริการทางการแพทย์บนพื้นฐานของการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและอยู่ภายใต้การกำกับที่เข้มงวด แต่ในประเทศไทย โครงสร้างของโรงพยาบาลเอกชนกลับมีลักษณะแตกต่างออกไป โดยเฉพาะเมื่อหลายแห่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการดำเนินธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์นั้น บางครั้งไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะการลงทุนระยะยาวเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการรักษาระดับราคาหุ้นให้สูง เพื่อสร้างผลตอบแทนทางการเงินในตลาดทุน ซึ่งกลายเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อทิศทางของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนโดยตรง
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่การสร้าง “ราคาที่เป็นธรรม” ทั้งต่อผู้บริโภคและต่อระบบสุขภาพโดยรวม เพราะหากโรงพยาบาลเอกชนมีโครงสร้างราคาที่เหมาะสม ประชาชนก็จะมองเห็นโรงพยาบาลเอกชนเป็นทางเลือก มากกว่าทางรอดสุดท้ายของคนที่มีกำลังจ่ายสูง
ปัจจุบันลักษณะการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนกลับคล้ายกับการเลือกให้บริการผู้ป่วยจำนวนน้อย แต่คงอัตรากำไรไว้เท่าเดิม ทั้งที่หากขยายบริการให้ครอบคลุมผู้ป่วยได้มากขึ้นในอัตรากำไรเท่าเดิม ย่อมเป็นประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและสังคมโดยรวม เพราะเมื่อค่ารักษา ในภาคเอกชนสูงเกินจริง ย่อมส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบสุขภาพอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นราคายา ค่ารักษา ในระบบประกันสุขภาพ รวมถึงภาระร่วมจ่ายของประชาชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ
ท้ายที่สุด เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เสนอให้รัฐบาลเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือและกำหนดนโยบาย ไม่ใช่เพียงภาคเอกชนหรือสมาคมโรงพยาบาลเอกชน แต่ควรมีฝ่ายผู้บริโภคเข้าร่วมด้วย เพื่อให้มาตรการสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง