Ribbon

ผลทดสอบความเร็วมือถือ ทุกค่าย – ไม่ต่างกัน แนะทำแพลตฟอร์มทดสอบสัญญาณแบบเปิด

ผลทดสอบความเร็วมือถือ ทุกค่าย - ไม่ต่างกัน แนะทำแพลตฟอร์มทดสอบสัญญาณแบบเปิด

สภาผู้บริโภค ร่วมกับห้องปฏิบัติการและวิจัย ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Communications, iNtegrated Systems and Cloud Research Laboratory : CNC Lab) เปิดผลการทดสอบคุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลต่อคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมภายหลังการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการรายใหญ่ ผลทดสอบพบว่าความเร็วจริงที่ผู้ใช้ได้รับไม่แตกต่างกันมากนักระหว่างแต่ละค่ายและแต่ละแพ็กเกจ พร้อมเสนอให้หน่วยงานกำกับดูแลสร้างแพลตฟอร์มระบบทดสอบสัญญาณที่ยั่งยืน สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการทดสอบของผู้บริโภค และให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกแพ็กเกจตามการใช้งานจริงมากกว่าความเร็วสูงสุดที่ระบุในโฆษณา

ผลทดสอบความเร็วมือถือ กว่า 58,000 ครั้ง ชี้ทุกค่ายให้ความเร็วใกล้เคียงกัน

ผศ.ดร.สุขุมาล กิติสิน หัวหน้าโครงการวิจัยฯ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า จากข้อมูลการทดสอบทั้งหมด 58,466 ครั้ง ของอาสาสมัครกว่า 560 คน ครอบคลุมพื้นที่ 69 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า เครือข่ายหลัก ได้แก่ เอไอเอส (AIS) ทรู (TRUE) และดีแทค (DTAC) มีความเร็วเฉลี่ยในการดาวน์โหลดอยู่ระหว่าง 50 – 100 Mbps โดยไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างค่ายหรือระดับแพ็กเกจ

สำหรับการทดสอบในจำนวนนี้ บนเครือข่ายเอไอเอส มีมากที่สุดกว่า 23,000 ครั้ง รองลงมาคือทรู กว่า 19,000 ครั้ง และดีแทค กว่า 13,000 ครั้ง ขณะที่เครือข่ายขนาดเล็ก เช่น ฟิน โมบายล์ (FINN Mobile) โกโม (GOMO) และเอ็นที (NT) มีสัดส่วนน้อยกว่าเครือข่ายใหญ่ ๆ

“ผลการทดสอบสะท้อนชัดว่า ไม่ว่าผู้บริโภคจะใช้แพ็กเกจระดับใด ความเร็วจริงที่ได้รับก็ใกล้เคียงกันหมด แสดงให้เห็นว่าความเร็วสูงสุดที่ผู้ให้บริการโฆษณาไว้อาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดประสบการณ์การใช้งานจริง” ผศ.ดร.สุขุมาล กล่าว

เมืองหลัก – เมืองรองต่างกันไม่มาก แต่พื้นที่ชายแดนยังมีช่องว่าง

เมื่อเปรียบเทียบความเร็วระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง พบว่า เครือข่ายทรู มีความแตกต่างสูงสุด โดยเมืองหลักมีความเร็วดาวน์โหลดมากกว่าเมืองรองถึง 53% และอัปโหลดมากกว่า 46% ส่วนเครือข่ายเอไอเอส มีความต่างเล็กน้อย ดาวน์โหลดประมาณ 8% อัปโหลดประมาณ 12% ส่วนดีแทคกลับมีแนวโน้มความเร็วในเมืองรองสูงกว่าเล็กน้อย ดาวน์โหลดและอัปโหลดประมาณ 6%

ขณะที่ในพื้นที่ชายแดนที่อยู่ติดกับต่างประเทศ เช่น พม่า ลาว และมาเลเซีย พบว่าทุกเครือข่ายมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะชายแดนฝั่งพม่าที่ดีแทคมีความเร็วสูงกว่าเครือข่ายอื่น ซึ่งนักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นผลจากการลงทุนด้านโครงข่ายในพื้นที่ใกล้ชายแดนก่อนการควบรวมกิจการ

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยชี้ว่า การเก็บข้อมูลยังไม่ครอบคลุมครบทุกจังหวัด และบางจังหวัดมีอาสาสมัครเข้าร่วมเพียงไม่กี่ราย จึงอาจไม่สะท้อนภาพรวมเชิงสถิติทั้งหมด แต่เพียงพอที่จะชี้แนวโน้มคุณภาพสัญญาณในระดับ
ประเทศได้

ความเสถียรของเครือข่ายดีขึ้นหลังปรับระบบ

การทดสอบในช่วงแรกของโครงการพบข้อผิดพลาด (Downtime) ค่อนข้างสูง เนื่องจากจำนวนผู้ทดสอบน้อยและใช้เครื่องมือแบบบันทึกหน้าจอ (Screenshot) แต่หลังจากเดือนเมษายน 2568 เป็นต้นมา ได้ปรับมาใช้ระบบใหม่ผ่าน MLab NDT ทำให้ความเสถียรของเครือข่ายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยค่าความพร้อมใช้งาน (Uptime) ของทุกค่ายสูงกว่าเป้าหมายข้อตกลงระดับการให้บริการ (Service Level Agreement : SLA) อย่างต่อเนื่อง

ในแง่การเปรียบเทียบความเร็วจริงกับแพ็กเกจ พบว่า แพ็กเกจต่ำกว่า 100 Mbps ได้ความเร็วจริงสูงกว่าที่ระบุไว้ ส่วนแพ็กเกจสูงกว่า 300 Mbps ความเร็วจริงไม่ถึงความสูงสุดที่โฆษณาไว้ โดยเฉพาะแพ็กเกจ 1000 Mbps ที่ทุกค่ายให้บริการความเร็วไม่ถึงความเร็วสูงสุดในการบริการได้ตามที่ระบุ

ติดตามพฤติกรรมการใช้งาน ไม่ตามความเร็วสูงสุด

ทีมนักวิจัยแนะนำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตโดยคำนึงถึงปริมาณข้อมูล (Data Quota) มากกว่าความเร็วสูงสุด เนื่องจากความเร็วที่ได้รับจริงแทบไม่แตกต่างกัน แต่โควตาการใช้งานคือปัจจัยที่จำกัดการใช้งานจริง

“ในแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ เช่น เอไอเอส หรือทรู ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าตัวเองใช้เน็ตไปเท่าไหร่ในแต่ละเดือน หากพบว่าใช้ไม่ถึงโควตาที่จ่ายไปก็สามารถลดระดับแพ็กเกจเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้” ผศ.ดร.สุขุมาล กล่าว พร้อมย้ำว่า ผู้บริโภคควรตรวจสอบประเภทสัญญาณในพื้นที่ของตัวเอง เช่น หากพื้นที่ยังไม่มีสัญญาณ 5จี (5G) ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแพ็กเกจ 5G ซึ่งไม่สามารถใช้งานได้จริง เนื่องจากพื้นที่อาจรองรับได้เพียงสัญญาณ 4จี (4G) เท่านั้น

เปิดข้อมูลเสาสัญญาณ พัฒนาแพลตฟอร์มทดสอบความเร็วที่ยั่งยืน

ทีมวิจัยเสนอให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเปิดเผยแผนที่พิกัดการตั้งเสาสัญญาณ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบพื้นที่ครอบคลุมได้ ลงทุนขยายโครงข่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและภูมิภาคที่มีความเร็วต่ำกว่ามาตรฐาน ปรับปรุงแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานได้แบบไม่จำกัดปริมาณข้อมูล (Unlimited) และแพ็กเกจความเร็วสูง ให้มีความสม่ำเสมอของความเร็ว เพื่อลดความผันผวนและสร้างประสบการณ์ใช้งานที่คาดการณ์ได้

ผศ.ดร.สุขุมาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยควรมีระบบทดสอบความเร็วที่เป็นกลางและยั่งยืน เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ โดยเสนอให้หน่วยงานกำกับดูแล ได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สนับสนุนการสร้างเครื่องมือสำหรับการทดสอบสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Sustainable Speed Test Platform) สามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือของ MLab เพื่อเก็บข้อมูลต่อเนื่องในรูปแบบที่เปิดเผยให้ทุกคนสามารถนำไปใช้งาน ศึกษา แก้ไข และเผยแพร่ต่อได้ รวมถึงการสนับสนุนการมีส่วนร่วมการทดสอบสัญญาณอินเทอร์เน็ตของประชาชนด้วยแรงจูงใจ เช่น บัตรกำนัลหรือสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ร่วมทดสอบอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งควรมีการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์เชิงนโยบายและกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค

“เมื่อข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้บริโภคจะตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ขณะเดียวกันผู้ให้บริการก็จะมีแรงจูงใจในการพัฒนาเครือข่ายให้มีคุณภาพมากขึ้น” ผศ.ดร.สุขุมาล กล่าวทิ้งท้าย

จากควบรวมโทรคมฯ สู่การตรวจสอบสัญญาณมือถือโดยประชาชน

ผศ.ดร.สุขุมาล กล่าวต่อว่า โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความกังวลต่อคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมภายหลังการควบรวมกิจการของผู้ให้บริการรายใหญ่ โดยสภาผู้บริโภคต้องการสร้างกลไกให้ประชาชนทั่วไปร่วมตรวจสอบคุณภาพสัญญาณด้วยตนเอง ผ่านเครื่องมือที่ได้มาตรฐานและโปร่งใส ซึ่งประชาชนควรมีสิทธิในการรู้ว่าบริการที่ใช้อยู่มีคุณภาพตามที่โฆษณาหรือไม่ ทั้งนี้ การมีข้อมูลจากภาคประชาชนคือรากฐานของความเป็นธรรมในการกำกับดูแล

ทั้งนี้โครงการฯ เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ถึงกรกฎาคม 2568 โดยเปิดให้อาสาสมัครทั่วประเทศร่วมทดสอบผ่านเครื่องมือมาตรฐานสากล ได้แก่ แพลตฟอร์มทดสอบสัญญาณอินเทอร์เน็ต โอ๊กล่า (Ookla) และโอเพ่นซิกนอล (OpenSignal) ก่อนจะพัฒนาไปสู่การใช้เครื่องมือ MLab NDT (Network Diagnostic Tool) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เปิดเผยที่ให้ทุกคนสามารถนำไปใช้งาน ศึกษา แก้ไข และเผยแพร่ต่อได้ (Open Source) ที่ได้รับการยอมรับในวงการวิจัย เพื่อเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลและความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน

อย่างไรก็ตาม จากผลการทดสอบของสภาผู้บริโภคและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ข้างต้นสะท้อนว่าคุณภาพสัญญาณมือถือของไทยอยู่ในระดับดีโดยรวม แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่เมืองหลัก เมืองรอง และชายแดนข้อมูลเหล่านี้จะเป็นฐานสำคัญในการผลักดันให้เกิด ระบบตรวจสอบคุณภาพสัญญาณแบบมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อให้ผู้บริโภคไทยได้รับบริการที่โปร่งใส เท่าเทียม และเป็นธรรมอย่างแท้จริง