
วิเคราะห์การผูกขาดของภาคธุรกิจ ได้หยั่งรากลึกไปในหลายกลุ่มธุรกิจ ส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน ความเหลื่อมล้ำของคนในประเทศ กระทบคนไทยต้องจ่ายแพงจากความไม่เท่าเทียม
สภาผู้บริโภคได้ติดตามผลกระทบจากการผูกขาดหลายธุรกิจ ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชนในหลายมิติ สะท้อนจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรีมาตลอด เพื่อสร้างโอกาสให้เกิดการแข่งขันอย่างเท่าเทียมระหว่างรายใหญ่และรายเล็ก แต่เมื่อสถานการณ์ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะเกิดการผูกขาดหลายกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่โทรคมนาคม พลังงาน ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์ ต่างเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องราคาและทิศทางของตลาด รวมถึงมีผลต่อธุรกิจรายเล็กและผู้บริโภคไม่มีอำนาจในการต่อรอง และต้องจ่ายแพงขึ้นจากความไม่เท่าเทียมมากขึ้นในทุกปี!
บริษัทไทยสัดส่วน 5% ครองรายได้ของเศรษฐกิจถึง 85%
ทั้งนี้มีหลายหน่วยงานได้สะท้อนเรื่องการผูกขาดทั้ง “ไทยพีบีเอส (PolicyWatch) ได้เปิดเผยข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ได้ทำรายงาน พิชญพิจารณ์ ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เรื่องกฎหมายและนโยบายการแข่งขันของประเทศไทย ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีลักษณะ “กระจุกตัวสูง” แต่ “แข่งขันต่ำ” ส่งผลให้หลายตลาดมีผู้เล่นควบคุมอยู่ไม่กี่รายและประมาณบริษัท 5% แรกของประเทศ ครองรายได้มากกว่า 85% ของเศรษฐกิจทั้งหมด สำหรับธุรกิจเหล่านี้อยู่ในภาคเศรษฐกิจ เช่น โทรคมนาคม ค้าปลีก ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า และรัฐวิสาหกิจ
สำหรับการเข้ามาของทุนขนาดใหญ่ทำให้โอกาสทางธุรกิจและการเข้าถึงทรัพยากรของคนส่วนใหญ่ลดลง รวมถึงจากโครงสร้างนี้ทำให้โอกาสทางธุรกิจและการเข้าถึงทรัพยากรของคนส่วนใหญ่ของประเทศปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีผลต่อความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่และในกลุ่มทุนใหญ่จำนวนไม่กี่ราย
ตลาดโทรคมนาคม สะท้อนจากการแข่งขันที่ลดลง กระเทือนผู้บริโภค
หนึ่งในภาคธุรกิจที่สะท้อนการผูกขาดอย่างชัดเจนกับภาคโทรคมนาคม โดยมีรายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) จับทิศทางตลาดโทรคมนาคมของไทย…หลังการควบรวมกิจการ ได้วิเคราะห์ว่า ตลาดโทรคมนาคมไทยกำลังเผชิญ “จุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง” หลังเกิดการควบรวมกิจการครั้งใหญ่สองครั้งคือ โทรศัพท์มือถือที่มีการควบรวมของสองบริษัทใหญ่ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ต่อมาการควบรวมอินเทอร์เน็ตบ้านของสองบริษัท โดยจากการควบรวมครั้งนี้ ทำให้ดัชนี HHI ของตลาดมือถือเพิ่มจาก 3,412 เป็น 4,701 และตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มจาก 2,539 เป็น 3,687 ซึ่งตามหลักสากลถือว่าอยู่ในระดับ “การแข่งขันต่ำ” และ “มีความเสี่ยงต่อการผูกขาด”
อีกทั้งผลกระทบระยะสั้นผู้บริโภคอาจได้ประโยชน์จากการขยายโครงข่ายและบริการการเชื่อมต่อสัญญาณ (โรมมิง) ร่วมกัน แต่ในระยะยาวเมื่อจำนวนผู้ให้บริการเหลือเพียงสองรายใหญ่ อัตราค่าบริการเฉลี่ยอาจเพิ่มขึ้น 5–10% อีกทั้งทำให้แรงจูงใจในการแข่งขันลดลง เนื่องจากผู้ให้บริการในตลาดโทรคมนาคมไม่จำเป็นต้องลดราคาหรือปรับปรุงบริการเพื่อแย่งลูกค้า โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง อีกทั้งผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้เช่าโครงข่าย (MVNO) อาจถูกบีบออกจากตลาด มาจากเงื่อนไขการเช่าใช้โครงข่ายไม่เป็นธรรม สะท้อนถึงผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมอย่างมีนัยยะสำคัญ
วัฒนธรรม “ผูกขาด” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
อีกหนึ่งความคิดเห็นจาก “สฤณี อาชวานันทกุล” ให้สัมภาษณ์กับ The101.world ต่อปัญหาผูกขาดในไทย ที่ สังคมไทยไม่ค่อยสนใจเรื่องการผูกขาดมากนัก ทั้งที่คนไทยให้ความสำคัญกับการต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเมื่อประเมินมุมมองแบบนักเศรษฐศาสตร์ การมีผู้เล่นน้อยรายในตลาดไม่ใช่เรื่องดี การควบรวมที่ลดจำนวนผู้เล่นจาก 3 รายเหลือแค่ 2 รายก็ไม่ใช่เรื่องดี เนื่องจากทุนมีอำนาจมากขึ้น ส่วนผู้บริโภคมีอำนาจต่อรองและทางเลือกน้อยลง
สำหรับกรณีที่เห็นชัดเจนคือ มติ กสทช. กรณีควบรวมค่ายมือถือ ที่ กสทช. เสียงข้างมากเลือกตีความกฎหมายแบบจำกัดอำนาจตัวเองให้เหลือเพียง ‘รับทราบ’ การควบรวมกิจการ ทั้งที่กฎหมายทุกระดับเขียนชัดเจนว่า กสทช. มีอำนาจในการกำกับการแข่งขันและป้องกันการผูกขาด
สภาพัฒน์ฯ ชี้ “ความเหลื่อมล้ำ” ยังคงรุนแรง คนจนเพิ่มกว่า 3 ล้านคน
อีกประเด็นที่น่าสนใจจากการรายงานของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ปี 2567 ได้ทำการสำรวจระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยยังอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โดยมีคนจนจำนวน 3.43 ล้านคน หรือ 4.89% ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา อีกทั้งเส้นความยากจนขยับเป็น 3,078 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนกลุ่มแรงงานภาคเกษตรคิดเป็นเกือบ 45% ของคนจนทั้งหมด และประชากรในชนบทมีอัตราความยากจนสูงกว่าคนเมืองถึง 1.8 เท่า
นอกจากนี้ ดัชนีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ (Gini Coefficient) อยู่ที่ 0.333 สะท้อนว่าความไม่เสมอภาคของรายจ่ายยังไม่ดีขึ้นเลยในรอบหลายปี รวมถึงมีรายงานชี้ว่า ประเทศไทยแม้อยู่ในกลุ่มรายได้ปานกลางระดับบน แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า รวมถึงเสนอให้รัฐต้อง “ปฏิรูปเชิงโครงสร้าง” เช่น ระบบภาษีที่ครอบคลุมฐานทรัพย์สิน การทำให้เศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ระบบ และการลงทุนด้านการศึกษาและงานที่มีคุณภาพ เพื่อให้ความเติบโตทางเศรษฐกิจครอบคลุมทุกกลุ่ม
การผูกขาดกระทบต่อเศรษฐกิจ
จากกรณีนี้สะท้อนว่าการผูกขาด ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่เป็นสิ่งที่กระทบต่อความเป็นธรรมในสังคม เนื่องจากกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่มมีอำนาจเหนือทั้งตลาดและนโยบาย จึงสามารถกำหนดราคาสินค้า บริการ อีกทั้งมีการรายงานจาก สำนักข่าวไทยรัฐในเรื่องการผูกขาดได้ชี้ว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำได้ซ้ำเติมสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำในทุกมิติ โดยเฉพาะการผูกขาดในภาคธุรกิจ จากกลไกค่าเช่าเลวที่มีตัวแปรสำคัญคือหน่วยงานรัฐ ที่สวมหมวกเป็นนักธุรกิจ มากกว่ารักษาผลประโยชน์ประเทศ
ท้ายที่สุดหากประเทศไทยยังปล่อยให้ทุนไม่กี่กลุ่มมีอำนาจเหนือตลาดและหน่วยงานกำกับดูแลไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายที่กำหนดไว้ ผลร้ายจึงกระทบต่อผู้บริโภคจะยังคงเป็น ผู้จ่ายแพงจากความไม่เท่าเทียมต่อไป
ที่มา
- สุดยอดผูกขาด! บริษัท 5% มีรายได้ 85% ของประเทศ
- วัฒนธรรมผูกขาดกับการยึดกุมกลไกกำกับดูแลของทุนไทย – สฤณี อาชวานันทกุล
- ทุนผูกขาด-ค่าเช่าเลว กินรวบรายได้ตลาด 90% “หน่วยงานรัฐ” ทำตัวเป็นนักธุรกิจ มากกว่ารักษาผลประโยชน์
- จับทิศทางตลาดโทรคมนาคมของไทย…หลังการควบรวมกิจการ
- รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2567