
สภาผู้บริโภคชี้มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคของ กสทช. ที่กำหนดไว้ภายหลังการควบรวมยังไม่เกิดปฏิบัติ ผู้บริโภคถูกกระทบทั้งทางเลือกน้อยลง การถูกผูกขาด ค่าบริการที่แพงและสัญญาณที่ชะลอตัวลงของโทรศัพท์มือถือ
เป็นเวลาร่วม 3 ปีนับตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2565 หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้มีมติ “รับทราบ” ที่เปิดทางให้เกิดการควบรวมกิจการของบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่สองค่ายก่อให้เกิดการผูกขาดในธุรกิจสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตโดยกสทช.อ้างว่าการออกเงื่อนไขมาตรการพิเศษ เพื่อ “ป้องกันผลกระทบและคุ้มครองผู้บริโภค” แต่ผ่านมาถึงปัจจุบันในปี 2568 สภาผู้บริโภค ได้ติดตามผลจากการควบรวมและเสียงเรียกร้องจากผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดสะท้อนว่าผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบจากสิทธิการเลือกของผู้บริโภคที่ลดลงในตลาดโทรคมนาคมจากการเหลือผู้เล่นหลักเพียงสองราย รวมถึงพบว่ามาตรการพิเศษ 5 ด้าน ที่ กสทช. กำหนดภายหลังการมีมติรับทราบควบรวมนั้น กลับไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าได้รับการดำเนินการจริง แต่มีผลต่อเนื่องจากค่าบริการที่เพิ่มขึ้นและความเร็วสัญญาณที่ลดลง
สำหรับ “มาตรการเฉพาะ” ภายใต้ข้อกังวล 5 ประเด็นหลัก ที่กสทช. ได้จัดทำออกมาเพื่อควบคุมและติดตามผลการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคมประกอบด้วย ประการแรก อัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ โดย กสทช. ได้กำหนดให้ผู้ประกอบการต้อง “ลดราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักลง 12% ภายใน 90 วันหลังควบรวม ต้องมีราคาที่แยกรายบริการ (Unbundle) ให้ผู้บริโภคเลือกได้ พร้อมห้ามแก้ไขสัญญาเอื้อประโยชน์ตนเอง และต้องแจ้งผู้บริโภครับทราบข้อมูลอย่างชัดเจน
ประการต่อมา ด้านการแข่งขันและการเข้าสู่ตลาด (MVNO) ต้องจัดแผนให้บริการแก่ผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) ล่วงหน้า พร้อมกันนี้หลังควบรวมต้องเปิดให้ ผู้ให้บริการโครงข่ายเสมือนใช้โครงข่ายในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20% รวมถึงการคิดค่าบริการขายส่ง (wholesale) ไม่เกินราคาปลีก 30% เพื่อร่วมส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคม
ประเด็นเรื่อง ด้านคุณภาพการให้บริการ โดย กสทช. ได้ห้ามลดจำนวนสถานีฐาน (Cell Site) พร้อมต้องรักษามาตรฐานคุณภาพบริการ และรองรับลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกำหนดให้ภายใน 3 ปีต้องครอบคลุม 5จี ไม่ต่ำกว่า 85% ของประชากร และภายใน 5 ปีไม่ต่ำกว่า 90%
อีกทั้งมีประเด็นด้านการถือครองคลื่นความถี่และโครงสร้างพื้นฐาน โดย กสทช. กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้คลื่นอย่างเคร่งครัด และการเปิดให้ผู้ประกอบการอื่นเช่าใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (Infrastructure Sharing) ส่วนประเด็นสุดท้ายด้านนวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ที่ต้องจัดทำแผนพัฒนานวัตกรรมภายใน 60 วัน และดำเนินการภายใน 1 ปี และการจัดกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีแพ็กเกจราคาพิเศษสำหรับผู้มีรายได้น้อยและผู้บริโภคในกลุ่มที่เปราะบาง
นอกจากนี้ กสทช. ยังมีมาตรการกำกับติดตามและบทลงโทษให้ผู้ประกอบการที่รวมธุรกิจต้องรายงานผลต่อ กสทช. ทุก 6 เดือน เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี และ กสทช. มีอำนาจปรับ ปรับปรุง หรือเพิกถอนใบอนุญาต หากพบการละเมิด
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของสื่อต่างๆ และการรายงานจาก กสทช. รวมถึงการติดตามของสภาผู้บริโภคสะท้อนว่าในทางปฏิบัติ กสทช. ไม่ได้ทำตามที่ประกาศไว้สะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบกำกับดูแลโทรคมนาคมไทย ที่คณะกรรมการกสทช. ยังไม่สามารถผลักดันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายได้จริง ทั้งที่ กสทช. ในฐานะหน่วยงานอิสระตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ต้องคุ้มครองสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงบริการพื้นฐานอย่างเป็นธรรมแต่เมื่อหน่วยงานกำกับดูแลเองกลับไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้
ทั้งนี้การตรวจสอบมาตรการเฉพาะ 5 ด้านที่ กสทช.กำหนดไว้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการประกอบการ ประกอบด้วย

ที่มาข้อมูล