ผ่านมา 3 ปี ควบรวม ทรู-ดีแทค จ่ายแพง คุณภาพแย่ กสทช. ลดมาตรการช่วยผู้บริโภค

ผ่านมา 3 ปี ควบรวม ทรู-ดีแทค ผู้บริโภคถูกมัดมือชก ซ้ำร้าย กสทช. ลดมาตรการช่วยผู้บริโภค

ภายหลังการดีลยักษ์ ควบรวม ทรู-ดีแทค ผ่านมากว่าสามปี สภาผู้บริโภคพบว่าผู้ใช้บริการกว่าร้อยละ 50 ต้องเจอราคาสูงขึ้น คุณภาพบริการที่ต่ำลง และถูกจำกัดทางเลือก แต่แทนที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแล จะเข้มงวดตรวจสอบบริการต่าง ๆ ว่าเป็นกับผู้บริโภคหรือไม่ และเป็นไปตามเงื่อนไขมาตรการพิเศษที่ตกลงไว้ในระหว่างการทำการควบรวม แต่กลับมีแนวโน้มที่จะลดเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคตามที่ กสทช.เคยประกาศไว้ ทำให้เพิ่มข้อสงสัยต่อบทบาทการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ของกสทช.

ย้อนกลับไปเมื่อ วันที่ 20 ตุลาคม 2565 กสทช. มีมติรับทราบ การควบรวมธุรกิจระหว่าง บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (ดีแทค) โดยกำหนดเงื่อนไขมาตรการพิเศษเพื่อกำกับดูแลด้านราคา คุณภาพโครงข่าย และการให้บริการ มาตรการเหล่านี้ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญเพื่อสร้างหลักประกันว่าการควบรวมจะไม่ส่งผลเสียต่อผู้บริโภค แต่เวลาผ่านมากว่า 3 ปี กลับพบว่าสถานการณ์ตรงข้ามกับที่สังคมคาดหวังไว้ ซึ่งเงื่อนไขมาตรการพิเศษเพื่อกำกับดูแลมีทั้งการปรับมาตรการเฉพาะหลังการควบรวม ค่ายมือถือ ทรู-ดีแทค ที่กำหนดให้มีการจ้างที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือนเมื่อมีการรวมธุรกิจเพื่อตรวจสอบต้นทุนและโครงสร้างอัตราค่าบริการ รวมทั้งต้องมีการกำหนดและแสดงอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แยกตามรายบริการซึ่งกำหนดอัตราค่าบริการต้นทุนเฉลี่ยรายบริการ โดยคิดราคาตามที่มีการใช้งานจริง และไม่มีการกำหนดการซื้อบริการขั้นต่ำไว้ รวมถึงการต้องปรับลดค่าบริการเฉลี่ยลดลง 12% ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการด้านนี้

สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวแสดงความกังวลต่อท่าทีของ กสทช. ที่มีการพิจารณาปรับลดเงื่อนไขมาตรการพิเศษหลังรวมธุรกิจค่ายมือถือเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ว่าผู้บริโภคไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากมาตรการที่กำหนดไว้ และกลับต้องเผชิญปัญหาค่าบริการที่สูงขึ้น คุณภาพบริการถดถอย และมีทางเลือกในตลาดลดลงอย่างชัดเจน

“เงื่อนไขพิเศษที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรก คือกลไกสำคัญในการป้องกันการผูกขาดตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไทย หากวันนี้ กสทช. กลับมีแนวโน้มจะลดมาตรการลงไปอีก ย่อมก่อให้เกิดคำถามสำคัญต่อสังคมว่า กสทช. กำลังปกป้องสิทธิผู้บริโภคหรือทำงานเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่ราย” สุภิญญา กล่าว

สุภิญญาขอทวงถามถึงผลการพิจารณา ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และแก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยรายงานการประชุมพร้อมทั้งผลการลงมติ ต้องดำเนินการภายในระยะเวลาไม่เกินสามสิบวันตับแต่วันที่ได้มีการลงมติ เพื่อความโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลได้อย่างโปร่งใส แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่พบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลที่ชัดเจนต่อสาธารณะ ทั้งประเด็นการรายงานการดำเนินการมาตรการหลังการควบรวมของผู้ให้บริการ รวมถึงการเปิดเผยรายงานการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ยิ่งสะท้อนถึงความบกพร่องในการกำกับดูแล และทำให้ผู้บริโภคขาดเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบสิทธิของตนเอง

สุภิญญา ระบุว่า การรวมธุรกิจการโทรคมนาคม ทั้งค่ายมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน ไม่ใช่เพียงเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจ แต่เป็นวาระสาธารณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั้งประเทศ หากการกำกับดูแลไร้ประสิทธิภาพหรือมีการผ่อนปรนเงื่อนไขโดยไม่อธิบายเหตุผลที่ชัดเจน ย่อมทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในความเสียเปรียบอย่างถาวร และอาจเป็นการละเลยต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ดังนั้น จึงถึงเวลาที่ กสทช. ต้องแสดงความชัดเจนและโปร่งใสต่อสาธารณะ ว่าจะยึดมั่นในหลักการคุ้มครองผู้บริโภคและประโยชน์สาธารณะเป็นที่ตั้ง หรือจะยอมปล่อยให้ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนรายใหญ่มีน้ำหนักเหนือกว่าความเดือดร้อนของผู้บริโภคทั้งประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการควบรวมค่ายมือถือ สภาผู้บริโภคได้มีการติดตามมาต่อเนื่อง ทั้งข้อร้องเรียนมาที่สภาผู้บริโภค การร้องเรียนตามสื่อสาธารณะต่าง ๆ และได้มอบหมายให้หน่วยงาน สถาบันวิชาการติดตามผลกระทบจากการควบรวมทั้งสองกรณีพบว่า ค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ได้ลดลง 12% ตามที่มีการกำหนดไว้ รวมถึงกลุ่มลูกค้าแบบเติมเงินที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดในการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีรายได้ไม่มากนัก ซึ่งพบว่ากลุ่มลูกค้าแบบเติมเงิน 80% มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 100 บาท/เดือน ค่าบริการรายเดือนขยับขึ้นจาก 300 บาท เป็น 400-500 บาท/เดือน ทางด้านค่าใช้จ่ายอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน ที่เคยมีการใช้บริการแบบไม่จำกัด 100 บาทหายไป ส่วนแพ็กเกจใหม่ปรับขึ้นมาที่ 191 บาท หรือเกือบ 200 บาท ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นกลุ่มฐานใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากนัก ราคาแพ็กเกจสูงสุดถึง 599 บาท มีคุณภาพสัญญาณอินเทอร์เน็ตของค่ายมือถือที่มีการควบรวมมีแนวโน้มลดลง

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง