Ribbon

โพสต์ข้อมูลคนอื่น อ้างประโยชน์ส่วนตนได้แค่ไหน? ตั้งคำถามขอบเขต PDPA

“โพสต์ข้อมูลคนอื่น” อ้างประโยชน์ส่วนตนได้แค่ไหน? ตั้งคำถามขอบเขต PDPA

กรณี “แม่ของ รมว.ดีอี” โพสต์ข้อมูลของผู้อื่น ในลักษณะประชดประชันบนสื่อสังคมออนไลน์ ที่ต่อมา นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ผู้เป็นบุตร ออกมาชี้แจงว่าการกระทำดังกล่าวไม่เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมายพีดีพีเอ (PDPA) ได้ก่อให้เกิดข้อสงสัยในสังคมว่า การนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย โดยอ้างข้อยกเว้นเพื่อประโยชน์ส่วนตนตามกฎหมาย สามารถทำได้จริงหรือไม่ และมีขอบเขตเพียงใด

จากประเด็นดังกล่าว ดร.อุดมธิปก ไพรเกษตร อนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค อธิบายว่า ข้อยกเว้นตามมาตรา 4(1) ของกฎหมายพีดีพีเอ ได้ระบุถึงการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือกิจกรรมในครอบครัวนั้น มีที่มาจากกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป หรือจีดีพีอาร์ (General Data Protection Regulation: GDPR) ซึ่งมีหลักการเดียวกัน แต่การตีความไม่ควรพิจารณาเพียงว่าเป็นการกระทำของบุคคลธรรมดาแล้วจะถือว่าได้รับการยกเว้นโดยอัตโนมัติ เพราะหัวใจของกฎหมายคือการคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

ดร.อุดมธิปกชี้ว่า ทางกฎหมาย คำว่าบุคคลไม่ได้หมายถึงการกระทำส่วนตัวเสมอไป เนื่องจากบุคคลธรรมดาก็สามารถเป็นผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลได้ หากมีการใช้ข้อมูลในลักษณะเชิงพาณิชย์หรือเชิงวิชาชีพ เช่น พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือวิชาชีพอย่างครู แพทย์ ทนายความ และนักบัญชี ซึ่งล้วนมีการเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ส่วนข้อยกเว้นเรื่องประโยชน์ส่วนตนหรือกิจกรรมในครอบครัวนั้น ใช้กับกรณีที่ไม่ได้มุ่งก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น การถ่ายภาพที่บังเอิญติดบุคคลอื่น หรือการเก็บข้อมูลในครอบครัว แต่ไม่ได้หมายความว่าสามารถนำข้อมูลของผู้อื่นไปเผยแพร่ได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบ

เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางของสหภาพยุโรป ดร.อุดมธิปกอธิบายว่า แม้บางกรณีจะเริ่มต้นจากการกระทำในบริบทส่วนตัว แต่หากการเผยแพร่ทำให้คนจำนวนมากเข้าถึงข้อมูลได้ หรือทำให้ข้อมูลกระจายไปอย่างควบคุมไม่ได้ จนเจ้าของข้อมูลเสี่ยงได้รับความเสียหาย ก็ไม่ถือว่าเป็นการใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนอีกต่อไป โดยเฉพาะข้อมูลที่เมื่อเผยแพร่แล้วจะทิ้งร่องรอยดิจิทัลไว้กับเจ้าของข้อมูลในระยะยาว ซึ่งในยุโรปให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชน เช่น กรณีที่คุณยายโพสต์ภาพหลานลงบนสื่อสังคมออนไลน์ แม้จะเป็นคนในครอบครัว แต่แม่ของเด็กเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิของบุตร จึงยื่นฟ้องร้องให้ลบภาพดังกล่าว โดยศาลพิจารณาว่าการเผยแพร่ข้อมูลของเด็กต้องคำนึงถึงสิทธิและผลกระทบในอนาคต ไม่ใช่เพียงความตั้งใจของผู้โพสต์เพียงฝ่ายเดียว

สำหรับกรณีที่มีการโพสต์ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก ดร.อุดมธิปกตั้งข้อสังเกตว่า ลักษณะดังกล่าวอาจไม่ใช่การสื่อสารในวงจำกัด และอาจไม่เข้าข่ายส่วนตัวอย่างที่เข้าใจกัน ยิ่งหาก โพสต์ข้อมูลคนอื่น ที่มีลักษณะชี้เป้า แขวน หรือเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้สังคมเข้าไปกดดันคู่กรณี ยิ่งต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ  

“สคส. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) ไม่ควรตอบเร็วว่าเรื่องนี้ไม่ผิด แต่ควรต้องดูบริบทอื่นร่วมด้วย ไม่ใช่ว่าพอเป็นบุคคลธรรมดาแล้วได้รับการยกเว้นทั้งหมด” ดร.อุดมธิปก ระบุ พร้อมยกตัวอย่างกรณีที่พบได้บ่อยในชีวิตประจำวัน เช่น การโพสต์ประจานลูกหนี้ การนำข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีมาเผยแพร่หลังมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง หรือการโพสต์สำเนาเอกสารที่มีข้อมูลระบุตัวบุคคลเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายยอมเจรจา โดยระบุว่ากรณีลักษณะนี้แม้ผู้โพสต์จะอ้างว่าเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง แต่หากการกระทำส่งผลให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย หรือทำให้ข้อมูลถูกเผยแพร่ในวงกว้าง ก็มีความเสี่ยงเข้าข่ายละเมิดสิทธิ และอาจไม่อยู่ในขอบเขตข้อยกเว้นตามกฎหมายพีดีพีเอ

ด้านการใช้สิทธิของผู้ที่ได้รับความเสียหาย ดร.อุดมธิปกอธิบายว่า กฎหมายพีดีพีเอ เปิดช่องให้ดำเนินการได้ 3 ทาง คือทางปกครอง ทางอาญา และทางแพ่ง โดยการร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญเป็นกระบวนการทางปกครอง ซึ่งค่าปรับที่เกิดขึ้นจะเป็นเงินของรัฐ ไม่ได้เป็นเงินชดเชยแก่ผู้ร้องเรียน แต่คำวินิจฉัยทางปกครองสามารถนำไปใช้เป็นฐานในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ง่ายขึ้น เพราะถือเป็นการยืนยันว่ามีการละเมิดสิทธิของเจ้าของข้อมูลแล้ว ส่วนความผิดทางอาญาจะเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นข้อมูลอ่อนไหวหรือข้อมูลลักษณะพิเศษตามกฎหมาย เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือประวัติอาชญากรรม ซึ่งเลขประจำตัวประชาชนไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มข้อมูลลักษณะพิเศษนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการเผยแพร่จะปลอดจากความเสี่ยงทางกฎหมายอื่น

ทั้งนี้ ดร.อุดมธิปกยังเตือนถึงความเสี่ยงที่ผู้บริโภคมักมองไม่เห็นในระยะสั้น คือ การที่ข้อมูลอย่างสำเนาทะเบียนราษฎร์หรือเลขบัตรประชาชนถูกนำไปเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ แม้ในวันแรกอาจยังไม่เกิดความเสียหายชัดเจน แต่ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกมิจฉาชีพนำไปเก็บสะสม รวมกับข้อมูลอื่น และใช้ในการหลอกลวงในอนาคต ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้า ไม่ใช่รอให้เกิดความเสียหายก่อนจึงค่อยแก้ไข

ท้ายที่สุด ดร.อุดมธิปกเห็นว่า หากสังคมยังมีความเห็นต่างต่อการตีความข้อยกเว้นในลักษณะนี้ ควรเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาวินิจฉัยเพื่อสร้างมาตรฐานที่ชัดเจน

“เรื่องนี้ควรไปจบที่ศาลปกครอง เพื่อให้ศาลพิจารณาว่าการตีความว่าได้รับการยกเว้นนั้นถูกต้องหรือไม่ และเพื่อไม่ให้การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเสียหายต่อกัน รวมถึงการทำให้กฎหมายพีดีพีเอได้ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริงในทางปฏิบัติ” ดร.อุดมธิปก กล่าว พร้อมระบุว่า หากผู้บริโภคพบว่าข้อมูลส่วนบุคคลของตนถูกนำไปเผยแพร่โดยไม่เหมาะสม หรือเข้าข่ายละเมิดสิทธิ สามารถร้องเรียนมายังสภาผู้บริโภค เพื่อขอคำปรึกษาและความช่วยเหลือได้ที่ เว็บไซต์สภาผู้บริโภค