เช็ก! สิทธิเยียวยา หลังวิกฤต น้ำท่วม-เหตุพิพาทชายแดน มีอะไรบ้าง

เช็ก! สิทธิเยียวยาหลังวิกฤต น้ำท่วม-เหตุพิพาทชายแดน มีอะไรบ้าง

สถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดจากพายุวิภา รวมถึงเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดน ล้วนสร้างผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ภัยพิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แต่เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้จะได้รับการช่วยเหลือ และสิทธิเยียวยาจากที่ไหน และมีขั้นตอนการดำเนินการอย่างไรบ้าง

ย้อนกลับไปในสถานการณ์อุทกภัยปี 2567 สร้างความเสียหาย โดยเฉพาะใน ภาคเหนือและภาคใต้ มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยรวมคาดว่าไม่ต่ำกว่า 30,000 ล้านบาท โดยมี ภาคเกษตรกรรม เป็นส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกรและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ 

สิทธิเยียวยา หลังวิกฤต

ซึ่งรัฐบาลเคยออกมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัย โดยจ่ายเงินให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 5,000–9,000 บาท ขึ้นอยู่กับระดับความเสียหายตามมติ ครม. ซึ่งประชาชนต้องแจ้งเหตุผ่าน อบต. หรือเทศบาลในพื้นที่ หรือลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)

สำหรับเหตุอุทกภัยล่าสุดจากพายุวิภา ขณะนี้ยังไม่มีมาตรการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยออกมา เนื่องจากต้องรอการสำรวจความเสียหายหลังน้ำลด ก่อนเสนออนุมัติงบประมาณและกำหนดหลักเกณฑ์ช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ ดังนั้นขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่พลาดสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ

ขณะที่ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้านจิตใจ กรมสุขภาพจิตได้จัดทีมดูแลด้านจิตใจ พร้อมให้คำปรึกษาฟรีแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพายุวิภา ผ่านสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นอีกสถานการณ์ที่ได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งด้าน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ประกาศหลักเกณฑ์เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ดังนี้

  • เสียชีวิต: 1,000,000 บาท
  • ทุพพลภาพ: 700,000 บาท
  • บาดเจ็บสาหัส: 200,000 บาท
  • บาดเจ็บมาก: 100,000 บาท
  • บาดเจ็บเล็กน้อย: 50,000 บาท

ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก 2 กรณีข้างต้น สามารถติดต่อได้ที่ หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น หรือศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ในพื้นที่ เพื่อแจ้งข้อมูลการได้รับผลกระทบ พร้อมรวบรวมหลักฐาน เตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบรับรองแพทย์ (กรณีบาดเจ็บ) รูปถ่ายความเสียหายของทรัพย์สิน เพื่อประกอบการพิจารณา

นอกจากเงินเยียวยา ก็ยังมีมาตรการการช่วยเหลือด้านสินเชื่อ จากสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์ เช่น การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ย การให้สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย หรือฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย ส่วนผู้ประกันตน สำนักงานประกันสังคม ให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบ เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือสิทธิประโยชน์กรณีว่างงาน หรือทุพพลภาพ

การช่วยเหลือจากองค์กรผู้บริโภค

นอกจากหน่วยงานรัฐแล้ว องค์กรผู้บริโภคก็มีบทบาทสำคัญ โดยสภาผู้บริโภคได้ร่วมสนับสนุนการช่วยเหลือหน่วยประจำจังหวัดน่าน ที่ได้รับความเดือนร้อนจากอุทกภัย พร้อมส่งต่อความช่วยเหลือให้ถึงมือประชาชนและองค์กรสมาชิกในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง

“แม้ในวันที่ยากลำบาก เราไม่เคยทอดทิ้งประชาชน เพราะเรายืนเคียงข้างผู้บริโภคในทุกสถานการณ์ โดยไม่ปล่อยให้ใครต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ที่สำคัญ เรายังมีกัลยาณมิตรที่ร่วมทาง ทั้งยามสุขและยามทุกข์”

เสียงสะท้อนจากเจ้าหน้าที่หน่วยงานประจำจังหวัดน่าน ที่แม้ตัวเองจะได้รับผลกระทบจากวิกฤต แต่ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่ลดละ และพร้อมเป็นสื่อกลางประสานความช่วยเหลือให้ประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มกำลัง

รวมถึง จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมีหน่วยประสานงานของสภาผู้บริโภค ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการประสานการช่วยเหลือผู้อพยพ พร้อมลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม หากพบอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิ หรือไม่รับการชดเชยเยียวยา สามารถติดต่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจาก สภาผู้บริโภค ได้ที่สายด่วน 1502 หรือช่องทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ tcc.or.th และสามารถร้องเรียนกับหน่วยงานประจำจังหวัดของสภาผู้บริโภค ทั้ง 20 จังหวัด โดยดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ https://www.tcc.or.th/tcc-agency/

สภาผู้บริโภค ขอแสดงความห่วงใย และเป็นกำลังใจ ให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยในครั้งนี้ และขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ชายแดน พร้อมขอส่งกำลังใจให้กองทัพไทย และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ด้วยความเสียสละเพื่อความปลอดภัยของประชาชน