
ในโลกของธุรกิจ การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของกำไร แต่มันคือ สิทธิในการเลือกของผู้บริโภค เมื่อทางเลือกของผู้บริโภค ขึ้นอยู่กับว่ามีการแข่งขันในตลาดที่แท้จริงหรือไม่
ใครที่ติดตามซีรีส์ “สงครามส่งด่วน” อาจมองว่าเป็นแค่เรื่องการแข่งขันของผู้ประกอบการ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่ซ่อนอยู่ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ธุรกิจ สภาผู้บริโภคกลับมองเห็นสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ สิทธิในการเลือกของผู้บริโภค ท่ามกลางกลยุทธ์การตลาด สิ่งที่กำลังถูกเดิมพันคืออิสระของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ หากระบบตลาดที่ไม่มีการแข่งขัน ผู้บริโภคก็อาจถูกบีบให้เลือกในสิ่งที่ไม่ได้เลือกจริง ๆ
เมื่อการแข่งขันเกิดขึ้น ผู้บริโภคย่อมมีสิทธิในการเลือก
การแข่งขันไม่ใช่แค่เรื่องของผู้ประกอบการ แต่คือกลไกสำคัญที่ทำให้เสียงของผู้บริโภคดังขึ้น หากมีผู้เล่นมาก ทางเลือกยิ่งหลากหลาย ผู้บริโภคจะมีอำนาจในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง แต่ในวันนี้ สิทธินั้นกำลังหายไป เมื่อผู้เล่นในตลาดค่อย ๆ ลดลงจากการควบรวมกิจการ
ธุรกิจขนส่งพัสดุไทยในปัจจุบันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการแข่งขันที่แท้จริง เมื่อมีผู้ให้บริการหลากหลายรายเข้ามาแข่งขัน ได้ส่งผลดีต่อผู้บริโภคโดยตรง เช่น ราคาถูกลง เพราะแต่ละเจ้าต้องแข่งกันด้วยโปรโมชั่น บริการที่เร็วและดีขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เลือกใช้บริการ และตัวเลือกที่หลากหลาย ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้บริการที่เหมาะกับความต้องการได้ เพราะการแข่งขันที่แท้จริง ทำให้เสียงของผู้บริโภคดังขึ้น และมีอำนาจต่อรอง
สถานการณ์กึ่งผูกขาดตลาด จากจำนวนผู้เล่นที่ลดลง มีใครบ้างในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนการควบรวมกิจการในหลายภาคธุรกิจที่ผ่านมา กำลังสร้าง “สถานการณ์กึ่งผูกขาด” อย่างเงียบ ๆ ที่บั่นทอนสิทธิของผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว
ตลาดโทรคมนาคม ทางเลือกที่ลดลง
อย่างในธุรกิจโทรคมนาคม ที่เราเคยมีผู้ให้บริการหลัก 4 ราย แต่หลังการควบรวมกลับเหลือเพียง 3 ราย และในอนาคตอาจเหลือเพียง 2 ราย แม้ดูเหมือนยังแข่งขันกันอยู่ แต่ในความเป็นจริง ผู้บริโภคมีตัวเลือกน้อยลงอย่างชัดเจน แพ็กเกจบริการของแต่ละค่ายแทบไม่ต่างกัน คุณภาพสัญญาณที่แย่ลง ราคาที่แพงขึ้น และการแข่งขันที่เคยมีอาจค่อย ๆ จางหายไป
แม้ว่าปัญหาของเรื่องนี้ จะมีหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ที่มีหน้าที่ดูแลให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมาปกป้องผู้บริโภคอย่างชัดเจน
ธุรกิจค้าปลีก ที่อาจผูกขาด
นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์แบบเดียวกัน ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2563 กับการควบรวมธุรกิจค้าปลีก ที่มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า หรือ กขค. กำกับดูแลการควบรวมนี้ แม้เราจะเห็นสินค้าหลากหลายบนชั้นวาง แต่ในความเป็นจริง เมื่อเจ้าของรายใหญ่ไม่กี่รายเริ่มครอบครองตั้งแต่ร้านสะดวกซื้อไปจนถึงห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ผลคือทางเลือกของผู้บริโภคลดลง ทั้งในแง่ของราคาสินค้าและความหลากหลายของแบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์ท้องถิ่นหรือรายย่อยที่ค่อย ๆ หายไปจากชั้นวาง
เมื่อจำนวนผู้เล่นในตลาดลดลง อำนาจต่อรองของผู้บริโภคก็ลดลงตาม การแข่งขันน้อยลงหมายถึงแรงจูงใจในการพัฒนาบริการหรือควบคุมราคาก็หายไป และถึงจะมีหน่วยงานกำกับดูแล แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนเพียงพอในการปกป้องผู้บริโภค
สิทธิการเลือกของผู้บริโภคที่หายไป เกิดผลกระทบอย่างไร
ระบบตลาดที่ไม่มีการแข่งขัน หรือมีผู้เล่นน้อยเกินไป จะไม่เพียงส่งผลต่อราคาและคุณภาพบริการเท่านั้น แต่ยัง กระทบโดยตรงต่อสิทธิของผู้บริโภค ทั้งสิทธิในการเลือก การเข้าถึงข้อมูล หรือแม้แต่สิทธิที่จะไม่ถูกเอาเปรียบจากการผูกขาด เพราะเมื่อผู้บริโภคไม่มีสิทธิต่อรอง และไม่มีผู้ให้บริการให้เลือก อำนาจการตัดสินใจของผู้บริโภคก็ไม่ต่างจากภาพลวงตา
ทั้งนี้ ในต่างประเทศ รัฐใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจังเพื่อปกป้องผู้บริโภค เช่นในสหรัฐอเมริกา กรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่าง AT&T กับ T-Mobile เมื่อปี 2554 ที่ถูกกระทรวงยุติธรรม (DOJ) และคณะกรรมการกำกับกิจการสื่อสาร (FCC) สั่งห้าม ด้วยเหตุผลว่า จะทำให้ผู้ให้บริการหลักลดลงจาก 4 เหลือ 3 ราย เสี่ยงต่อการแข่งขันถดถอย ทำให้ผู้บริโภคได้รับผลเสียทั้งด้านราคาและคุณภาพ
เห็นได้ชัดว่า การควบรวมในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยให้กลไกทุนตัดสินเอง แต่มีรัฐเข้ามากำกับอย่างเข้มข้น หากจำนวนผู้เล่นหลักในตลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มักถูกยับยั้งหรือปฏิเสธ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดตั้งแต่ต้น ขณะที่ในไทย แม้หน่วยงานรัฐจะมีกฎหมายรองรับ แต่กลับเลือก อนุญาตแบบมีเงื่อนไข โดยปล่อยให้บริษัทดำเนินการควบรวมแล้วจึงค่อยติดตามภายหลัง ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคแบกรับความเสี่ยงและผลกระทบระยะยาว
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภคยังคงยืนยันจุดยืนว่า การแข่งขันที่เป็นธรรม คือหัวใจของตลาดเสรีที่แท้จริง เพราะเมื่อผู้บริโภคมีทางเลือก มีข้อมูล และมีอำนาจต่อรองที่สมดุล ก็จะสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการ ในราคาที่เป็นธรรมและมีคุณภาพได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้บริโภคควรได้รับตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
กสทช.ทำอะไรอยู่? หลังควบรวมแล้วลอยแพผู้บริโภค
ระวัง! คลื่นความถี่ในมือทุนใหญ่ ผู้บริโภคเสี่ยงไร้ทางเลือก
“ทรูล่ม” สะท้อนจุดเสี่ยงความมั่นคงไซเบอร์