
ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ระบบสาธารณสุขเมืองกรุงแทบรับมือไม่ไหว ในปี 64 ทีมชมรมแพทย์ชนบท ระดมกำลังเข้ากรุงเพื่อให้ประชาชนในชุมชนแออัด เข้าถึงโอกาสการรับตรวจโควิด-19 อย่างเท่าเทียม แต่คนที่ประชาชนเห็นว่าเป็น “ผู้กู้วิกฤติ” กำลังจะถูกบีบออกจากราชการ
ทุกคนคงจำสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ในปี 2564 ได้ ที่หลายคนต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะในชุมชนแออัดที่ไม่สามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ที่มีอยู่อย่างจำกัด ทีมชมรมแพทย์ชนบทที่ยกทีมเข้ามาช่วยเหลือจนวิกฤติได้คลี่คลายลง
“เราไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจะได้ตรวจไหม แม้จะรอข้ามคืน ก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะได้ตรวจ บางคนกลับบ้านโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่” นี่เป็นเสียงสะท้อนจาก ฐิตินัดดา รักกู้ชัย ผู้ประสานงานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง ธนบุรีเหนือ ถึงสถานการณ์ความชุลมุนในชุมชนเมื่อการตรวจคัดกรองโรคโควิดด้วยการใช้ชุดตรวจ ATK ขาดแคลนตอนนั้น
เธอเล่าว่า สถานการณ์โควิด-19 ช่วงปี 2564 คนในชุมชนต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างถึงที่สุด การเข้าถึงบริการตรวจโควิดแทบเป็นไปไม่ได้ โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับคนจำนวนมาก คิวตรวจยาวเหยียด หลายคนต้องไปนั่งรอคิวตั้งแต่หลังเที่ยงคืน บางรายเอาสิ่งของไปวางจองที่ข้ามคืน หวังเพียงจะได้สิทธิเข้ารับการตรวจ
จนกระทั่งมีแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นในความมืด เมื่อ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ พร้อม ทีมชมรมแพทย์ชนบท ได้ลงพื้นที่เข้าไปถึงชุมชนแออัดที่บริการสาธารณสุขเข้าไม่ถึงตอนนั้น
ฐิตินัดดายังย้ำว่า การมาของทีมแพทย์ชนบททำให้ไม่มีใครต้องรอข้ามคืน ไม่มีใครถูกทิ้ง และเกือบทุกคนได้ตรวจ แม้จะมีโควตาวันละพันคน แต่หากมีคนที่เดินทางมามากกว่านั้น ทีมแพทย์ก็ยังตรวจกันตั้งแต่เช้าตรู่จนดึกดื่น บางวันเลิกงานกันตอนสามทุ่ม สี่ทุ่ม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะไม่ถูกละเลย
“ตอนนั้นทุกคนดีใจมากเลยค่ะ ชื่นชมคุณหมอกันมาก เพราะหากทีมแพทย์ชนบทไม่ลงมาช่วยตอนนั้น คนในชุมชนต้องรอคิวแบบว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้ตรวจหรือไม่”
ทีมชมรมแพทย์ชนบท ไม่ได้เพียงแค่ช่วยตรวจคัดกรอง แต่ยังเป็นที่พึ่งพิงทางใจ พวกเขาช่วยอธิบายแนวทางการปฏิบัติตัวเมื่อติดเชื้อ หรือเมื่อมีคนในบ้านติดเชื้อ ช่วยแยกผู้ป่วยตามระดับความรุนแรง (สีเขียว เหลือง แดง) ประสานการรักษา จัดส่งยาไปถึงบ้าน และแนะนำวิธีแยกกักตัว ซึ่งเป็นการทำงานร่วมมือ รวมพลังกันกับ หน่วยงาน สปสช. อย่างราบรื่น ทำให้ประชาชนคลายความวิตกกังวลลงได้อย่างมาก
ขณะที่ ลำสี ศรีระพุก ผู้ประสานงานศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทอง กรุงเทพใต้ เผยถึงสถานการณ์ของชุมชนแออัด ที่ตอนนั้นเต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย และความกลัว เพราะสัมผัสได้ถึงความ “ขาด” ในทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขาด ATK ขาดหมอ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ไม่เพียงหายาก ราคายังพุ่งสูงขึ้นจนเกินเอื้อม
เธอเล่าว่า คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะติดเชื้อหรือยัง ไม่รู้ว่าจะต้องป้องกันหรือดูแลตัวเองอย่างไร ที่สำคัญ ไม่รู้แม้แต่จะไปตรวจที่ไหนได้ ส่งผลให้ความโกลาหลยิ่งเพิ่มขึ้น เมื่อระบบสาธารณสุขไม่สามารถรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่พุ่งสูง ชุมชนจึงตกอยู่ในภาวะเคว้งคว้าง รอความช่วยเหลือที่ไม่รู้จะมาถึงเมื่อไหร่
ในฐานะประธานชุมชนและผู้ประสานงาน เธอยอมรับว่า “ตอนนั้นหวั่นไหว กังวล ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงเหมือนกัน ที่จะช่วยเหลือคนในชุมชน”
แต่เมื่อได้รับการประสานจากส่วนกลางว่าทีมแพทย์ชนบทจะลงพื้นที่ ก็เร่งเตรียมการทันที ตั้งแต่การประชุม วางแผนบทบาทหน้าที่ ไปจนถึงการจัดลานกีฬาชุมชนให้เป็นจุดตรวจโควิดสำหรับคนในพื้นที่
เธอย้ำว่า ทีมชมรมแพทย์ชนบท ช่วยได้ค่อนข้างมากจริง ๆ เบื้องต้นช่วยแยกผู้ป่วยสีเขียว เหลือง แดง ออกมา ช่วยประสานการรักษา ส่งยาไปถึงบ้าน แนะนำวิธีกักตัวที่บ้าน ช่วยเชื่อมระบบทั้งหมดให้มันเดินต่อไปได้ ทำให้คนในชุมชนได้เข้าถึงระบบสาธารณสุขอย่างเท่าเทียม
“ไม่อยากจะคิดถ้าวันนั้นไม่มีทีมแพทย์ลงมา ทุกคนในชุมชนคงเคว้งคว้างไปอีกนาน” เธอกล่าว
ในวิกฤตโควิด-19 เสียงสะท้อนจากตัวแทนเขตและเครือข่ายภาคประชาชนหลายพื้นที่ สะท้อนความโกลาหลและภาวะล่มของระบบสาธารณสุขในเมืองหลวง ที่ไม่สามารถรองรับผู้ป่วยจำนวนมหาศาลได้ทัน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงการตรวจและการรักษาอย่างทันท่วงที
แต่ในความมืดนั้น ยังมีแสงสว่างจากน้ำใจของ หมอสุภัทร และ ทีมแพทย์จากชมรมแพทย์ชนบท ที่ลุยลงพื้นที่ เสียสละเวลา แรงกาย และหัวใจ เข้าจัดการปัญหาเฉพาะหน้าด้วยความมุ่งมั่นจนสถานการณ์ในหลายพื้นที่คลี่คลายลงได้อย่างชัดเจน
อย่างที่ สมชาย กระจ่างแสง กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้กล่าวไว้ในเวที แถลงข่าวเรียกร้องความเป็นธรรมให้หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ว่า “ตอนนั้นถ้า ทีมชมรมแพทย์ชนบท ไม่ลงมาช่วย คนกรุงเทพตายเยอะแน่ เพราะเข้าไม่ถึงการรักษา และกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ดำเนินการช่วยเหลืออย่างจริงจังในขณะนั้น”
จากข้อมูลการลงพื้นที่ 3 รอบ ของทีมแพทย์อาสาตรวจคัดกรอง ATK ให้ประชาชนมากถึง 192,905 คน พบผู้ติดเชื้อ 22,451 คน หากไม่มีการลงพื้นที่ครั้งนั้น ประชาชนเกือบสองแสนคน อาจไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบสาธารณสุขได้อย่างทันท่วงที และหลายชีวิตอาจต้องเผชิญความเสี่ยงโดยไม่มีทางเลือก
แต่ท่ามกลางความเสียสละและการทำงานอย่างไม่ย่อท้อเพื่อประชาชน หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ กลับถูกตั้งข้อกล่าวหาเรื่องวินัย จากกรณีจัดซื้อชุดตรวจ ATK ภายใต้โครงการแพทย์ชนบทบุกกรุง จนนำไปสู่มติให้ออกจากราชการ โดยจะมีผลในสิ้นเดือนกันยายน 2568 ที่จะถึงนี้
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดกระแสความเคลื่อนไหวจากเครือข่ายภาคประชาชน ที่พร้อมใจกันออกแถลงการณ์เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับหมอสุภัทร ในวันที่ 18 สิงหาคม 2568 โดยเรียกร้องให้คณะกรรมการสอบสวนเปิดเผยข้อมูลและหลักฐานที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยรายงานผลการสอบสวนอย่างโปร่งใส และขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแสดงบทบาทในการให้ความเป็นธรรมต่อแพทย์ผู้ทุ่มเทรายนี้
รวมถึง สภาผู้บริโภคขอร่วมส่งกำลังใจให้คุณหมอสุภัทร แพทย์ผู้ยืนหยัดเคียงข้างประชาชนตลอดมา เพราะผลลัพธ์ของคดีนี้จะไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนบุคคลเท่านั้น แต่จะกลายเป็นบรรทัดฐานสำคัญต่ออนาคตของการคุ้มครองผู้เปิดโปงความจริง และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของข้าราชการในสังคมไทย
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
ทวงคืนความเป็นธรรม ภาคประชาชนร้องถาม สั่งปลด “หมอสุภัทร” ยุติธรรมหรือไม่