
ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ลดลง เศรษฐกิจที่กดทับครอบครัว สวนทางกับต้นทุนการศึกษาที่พุ่งไม่หยุด โรงเรียนทยอยปิด ตัวลงอย่างต่อเนื่อง กระทบชีวิตเด็กนักเรียน เสี่ยงหลุดจากระบบ
ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตเงียบในระบบการศึกษา เมื่อมีโรงเรียนจำนวนมากทยอยปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากปัญหาเด็กเกิดน้อย เศรษฐกิจถดถอย และภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ข้อมูลจากสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสมาคมโรงเรียนเอกชน ชี้ว่า ระหว่างปี 2563–2567 มีโรงเรียนทั้งรัฐและเอกชนหายไปกว่า 490 แห่ง ขณะที่เฉพาะฝ่ายโรงเรียนเอกชน เพียงช่วงปี 2565–2566 ก็มีโรงเรียนในระบบและนอกระบบปิดตัวรวมกันมากกว่า 400 แห่ง
สถานการณ์ล่าสุดในปี 2568 ยิ่งสะท้อนภาพที่น่ากังวล เมื่อโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่และมีประวัติยาวนานในกรุงเทพฯ หลายแห่ง เช่น โรงเรียนไผทอุดมศึกษา โรงเรียนอุดมศึกษาลาดพร้าว และโรงเรียนถนอมพิศวิทยา ต่างประกาศเลิกกิจการหลังเปิดทำการมานานหลายสิบปีด้วยเหตุผลเดียวกันคือ “จำนวนนักเรียนลดลงและรับภาระต้นทุนไม่ไหว”
ขณะที่โรงเรียนรัฐจะไม่ได้ปิดถาวรเหมือนโรงเรียนเอกชน แต่ก็มีการยุบรวมโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมาก กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีนโยบายในการพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่มีจำนวนนักเรียนน้อยกว่า 120 คนลงมา หรือบางแห่งแทบไม่มีนักเรียนเลย ข้อมูล ณ ต้นปี 2568 ระบุว่ามีโรงเรียนขนาดเล็กที่รอประกาศเลิกสถานศึกษากว่า 26 แห่ง และมีโรงเรียนที่ถูกยุบรวมสะสมไปแล้ว 75 แห่ง การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เด็กจำนวนหนึ่งต้องเดินทางไปเรียนไกลขึ้น และชุมชนสูญเสียศูนย์กลางการเรียนรู้ที่เคยมีมานาน
ย้ายโรงเรียนกะทันหัน เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษา
ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของระบบโรงเรียนนี้ เด็กคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ธัญญารัตน์ สีน้ำคำ ครูจากโรงเรียนเอกชนสะท้อนให้เห็นอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์โรงเรียนปิดตัว เธออธิบายว่า ผลกระทบแรกและชัดที่สุดคือการที่เด็กต้องหาที่เรียนใหม่ ต้องย้ายเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ต้องปรับตัวกับกฎระเบียบใหม่ เพื่อนใหม่ และรูปแบบการสอนใหม่ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ทำให้หลายคนรู้สึกไม่มั่นคงและหลงทิศทาง
สิ่งที่ตามมาคือ ความเครียดสะสมและความกดดันทางอารมณ์ เด็กจำนวนมากมีภาระความกังวลเรื่องการเรียนต่ออยู่แล้ว แต่เมื่อโรงเรียนปิดตัวกะทันหัน ภาระนี้กลับเพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนชั้น ม.5–ม.6 ที่ควรเป็นช่วงโฟกัสไปที่การเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย การเปลี่ยนโรงเรียนกลางคันจึงเป็นสถานการณ์ที่สร้างความสับสนและกดดันอย่างหนัก
ด้านการเรียนรู้ก็ถูกกระทบอย่างสำคัญ เธอชี้ว่า หลักสูตรของโรงเรียนใหม่อาจไม่สอดคล้องกับโรงเรียนเดิม รายวิชาเพิ่มเติมต่างกัน หน่วยกิตที่ต้องสะสมไม่เท่ากัน เด็กบางคนอาจพลาดเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนดโดยไม่ตั้งใจ นักเรียนที่วางแผนเข้ามหาวิทยาลัยอาจไม่สามารถรักษาเกรดในโรงเรียนใหม่ได้ ส่งผลต่อคะแนนสะสมอื่น ๆ ที่ใช้ในการสมัครสอบ
สำหรับด้านการแนะแนวก็เป็นอีกจุดที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะเด็กที่เตรียมยื่นแฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำปรึกษาต่อเนื่องจากครูที่รู้ศักยภาพและเส้นทางของเด็กคนนั้น การเปลี่ยนครูที่ปรึกษากะทันหัน ทำให้เด็กจำนวนมากไม่รู้จะเดินต่ออย่างไร และที่น่ากังวลที่สุดคือ ความเสี่ยงที่เด็กจะหลุดออกจากระบบการศึกษา เด็กบางคนอาจหาที่เรียนใหม่ไม่ได้ทัน หรือสับสนกับกระบวนการย้ายโรงเรียนจนถอดใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
ธัญญารัตน์ ย้ำว่า หากโรงเรียนจำเป็นต้องปิดกิจการจริง ๆ ควร “ประกาศล่วงหน้าอย่างเพียงพอ” เพื่อให้ครอบครัวและเด็กมีเวลาเตรียมตัว เพราะท้ายที่สุด ไม่ใช่แค่โรงเรียนที่หายไป แต่คืออนาคตของเด็กที่อาจได้รับผลกระทบเกินกว่าจะย้อนกลับมาแก้ไขได้
นอกจากนี้ ยังมองว่าการทยอยปิดตัวของโรงเรียนนั้น อาจกระทบต่ออาชีพครู ซึ่งครูจำนวนมากต้องเผชิญความไม่แน่นอนทางอาชีพ เพราะการดำรงอยู่ของโรงเรียนเอกชนผูกกับจำนวนนักเรียน เมื่อโรงเรียนปิด ครูจำนวนหนึ่งต้องหางานใหม่
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การปิดโรงเรียน” ไม่ใช่เพียงภาพข่าวเศรษฐกิจของสถานศึกษา แต่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่กระทบวงกว้าง ตั้งแต่เด็ก ครู ผู้ปกครอง ไปจนถึงชุมชนและอนาคตการศึกษาของประเทศ หากอัตราการเกิดยังลดลงต่อเนื่อง และภาระค่าใช้จ่ายยังสูงเช่นนี้ ไทยอาจต้องเผชิญการปิดโรงเรียนอีกจำนวนมากในอนาคต และจำเป็นต้องมีนโยบายรองรับทั้งในด้านความมั่นคงของอาชีพครู การดูแลนักเรียนที่ได้รับผลกระทบ และการปรับระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับสังคมที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
อัตราการเกิดลด–ค่าครองชีพสูง
ภาวะโรงเรียนทยอยปิดตัวในวันนี้ ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นสัญญาณเตือนของปัญหาโครงสร้างทางสังคมที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาอัตราการเกิดที่ลดลงต่อเนื่อง และสภาพเศรษฐกิจที่กดทับครอบครัวจำนวนมากจนไม่กล้าตัดสินใจมีบุตร ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อระบบการศึกษาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ธัญญารัตน์ อธิบายว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กหนึ่งคนในปัจจุบันสูงเกินความสามารถของคนวัยทำงานจำนวนมาก ไม่ใช่แค่ค่าเทอม แต่เป็นค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดจนโต ขณะที่เงินเดือนหรือรายได้ของครอบครัวกลับไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลายคนจึงรู้สึกว่า “เลี้ยงตัวเองยังยาก” ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมีลูก ส่งผลให้การตัดสินใจมีบุตรกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดแล้วคิดอีก
นอกจากนี้ บรรยากาศของสังคมโดยรวมก็มีผลอย่างมาก เพราะผู้คนตั้งคำถามว่า ลูกจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในสังคมแบบนี้ได้หรือไม่ ทั้งเรื่องความปลอดภัย สวัสดิการ คุณภาพชีวิต และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
เธอ ย้ำว่า การสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ เริ่มต้นจาก ‘สมดุลของเวลา’ ในครอบครัว นอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว การที่รัฐและสังคมช่วยกันออกแบบระบบนิเวศที่เอื้อให้ผู้ปกครองสามารถจัดสรรเวลาดูแลบุตรหลานได้อย่างเต็มที่ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะนี่คือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้แก่เยาวชน ให้เติบโตเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์พร้อมขับเคลื่อนประเทศต่อไป
“ฝากข้อคิดสำคัญถึงครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดตัวของโรงเรียน โดยย้ำว่าแม้จะเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่สิ่งสำคัญคือการโฟกัสไปที่ตัวเด็กเป็นหลัก ผู้ปกครองควรร่วมกันพูดคุยกับลูกอย่างเปิดใจ รับฟังความคิดเห็นของเด็ก และวางแผนอนาคตด้านการศึกษาร่วมกัน เพื่อไม่ให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา” ธัญญารัตน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โรงเรียนปิดตัวกำลังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเด็กโดยตรง ทำให้เกิดความเสี่ยงที่เด็กจำนวนหนึ่งอาจหลุดออกจากระบบการศึกษา ทั้งจากความไม่พร้อมของครอบครัว การขาดแคลนโรงเรียนรองรับ และภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นกะทันหัน
ปิดโรงเรียนไม่ควรปิดโอกาสเด็ก
จิรัชว์ชยา คำมี ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค กล่าวเสริมว่า คณะอนุกรรมการด้านการศึกษามีจุดยืนชัดเจนในการผลักดันให้ เด็กทุกคนได้รับการศึกษาฟรีอย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดให้ครบถ้วนโดยไม่เลือกฐานะหรือประเภทโรงเรียนที่เด็กกำลังศึกษาอยู่
แม้ว่า กรณีโรงเรียนปิดตัวที่เกิดขึ้นจำนวนมากจะเป็นโรงเรียนเอกชน ซึ่งผู้ปกครองยินยอมจ่ายค่าเล่าเรียนหรือค่าบริการต่าง ๆ แต่การสมัครใจจ่ายไม่ได้หมายความว่าผู้ปกครองควรต้องแบกรับความเสี่ยงจากการบริหารจัดการของโรงเรียนเพียงลำพัง เพราะการจ่ายเงินคือการซื้อบริการด้านการศึกษา จึงควรได้รับการคุ้มครองและเยียวยาเมื่อเกิดผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีโรงเรียนปิดกะทันหัน โรงเรียนย้ายที่ตั้งโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หรือการบริหารจัดการที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ปกครองและเด็ก
คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา มีความเห็นว่า รัฐควรจัดให้มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคด้านการศึกษา หรือมาตรฐานด้านการบริหารจัดการที่โรงเรียนทุกแห่งต้องปฏิบัติตาม เพื่อไม่ให้เด็กต้องสูญเสียสิทธิขั้นพื้นฐาน และเพื่อให้ครอบครัวไม่ต้องเผชิญภาระเกินจำเป็นจากเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากด้านการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสถาบันภาครัฐ เอกชน หรือกวดวิชา สามารถร้องเรียนมาได้ที่สภาผู้บริโภค ผ่านช่องทางออนไลน์ https://www.tcc.or.th/ หรือโทร 1502 ในวันเวลาทำการ วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 – 17.00 น.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



