ชี้ ครู-ผู้ปกครอง ต้องหยุดตีเด็ก! พร้อมเสนอ 6 มาตรการ

Getting your Trinity Audio player ready...
ชี้ ครู-ผู้ปกครอง ต้องหยุด ตีเด็ก พร้อมเสนอ 6 มาตรการ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ข่าวนักเรียนชั้น ป.1 ที่พบว่า แก้มทั้งสองข้างบอบช้ำ จากการที่ถูกครูลงโทษด้วยการตีเด็กด้วยไม่บรรทัดเหล็กนับสิบครั้ง เพียงเพราะความหิวและแอบหยิบขนมครูไปกินโดยไม่รับอนุญาตสร้างความสะเทือนใจให้กับผู้ปกครองและประชาชนทั่วไป ปัญหาการใช้ความรุนแรงในการลงโทษนักเรียนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ยังคงเป็นการสร้างบาดแผลเรื้อรังให้กับเด็กและเยาวชน ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียนอย่างแท้จริง

กฎหมายห้ามตี มีแต่ไร้ผล

นายอรรถพล อนันตวรสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ชี้ว่า แม้การลงโทษด้วยการตี, การใช้ความรุนแรง, หรือการลงโทษทางร่างกายที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจะถือเป็นการลงโทษที่ผิดระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ. 2548 (และฉบับแก้ไข) ซึ่งกำหนดให้การลงโทษนักเรียนมีเพียง 4 สถาน คือ 1) ว่ากล่าวตักเตือน 2) ทำทัณฑ์บน 3) ตัดคะแนนความประพฤติ และ 4) ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

แต่ข่าวการใช้ความรุนแรงในโรงเรียนก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการห้ามใช้ความรุนแรงนั้น ยังไร้ประสิทธิภาพ แม้ว่าจะมีการออกมาตรการว่าให้ครูต้องฝึกวินัยเชิงบวก โดยหลีกเลี่ยงการลงโทษที่จะมีผลต่อร่างกายเด็กก็ตาม เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าครูอาจขาดทักษะการตัดสินในมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปรับพฤติกรรมผู้เรียนในเชิงบวก ทำให้พวกเขาเลือกใช้วิธีลงโทษแบบเดิมที่ทำมาในอดีต เป็นโจทย์ที่กระทรวงศึกษาธิการต้องขับเคลื่อน และใช้มาตรการทางกฎหมายที่ชัดเจนหากมีการลงโทษนักเรียนที่เกินกว่าเหตุ และเข้มงวดต่อการใช้ความรุนแรงในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและความปลอดภัยสำหรับนักเรียน

นอกจากคุณครูที่ห้ามใช้ความรุนแรงแล้ว ผู้ปกครองเองก็ห้ามลงโทษเด็กด้วยการตีเช่นกัน ตามประกาศราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 25) พ.ศ. 2568 หรือ ‘กฎหมายห้ามตีเด็ก’ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (25 มีนาคม 2568) เป็นต้นไป

6 ข้อเสนอสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน

คณะอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ตระหนักถึงสิทธิที่นักเรียนต้องได้รับการคุ้มครองทั้งร่างกายและจิตใจ จึงได้ยื่น 6 ข้อเสนอ ถึงกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 เพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน ข้อเสนอเหล่านี้มาจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงในโรงเรียน และการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเยาวชน ผู้ปกครอง และครู

  • สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่เข้าถึงง่าย: จัดสรรทรัพยากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอ ทั้งสำหรับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงฝึกอบรมครูให้มีทักษะการรับฟังและดูแลนักเรียนเชิงลึก พร้อมสร้างระบบติดตามผู้ที่เผชิญปัญหาความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
  • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ปลอดภัย: กำหนดมาตรฐานห้องน้ำที่มิดชิดเพื่อป้องกันการล่วงละเมิด พร้อมคุมเข้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติด รวมถึงการดูแลความปลอดภัยจากบุคคลภายนอก
  • แก้ปัญหาไซเบอร์บูลลี่อย่างเป็นระบบ: บรรจุเนื้อหาเรื่องไซเบอร์บูลลี่และสิทธิในโลกออนไลน์ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับประถม และจัดอบรมครูให้มีความรู้ความเข้าใจในประเด็นนี้
  • คุ้มครองสิทธิเด็กและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: จัดตั้งช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ พร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนและสภานักเรียนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและสื่อสารปัญหา
  • ส่งเสริมบทบาทครอบครัวในการดูแลสุขภาพจิต: จัดอบรมให้ความรู้ผู้ปกครองเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้ครอบครัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลาน
  • พัฒนาการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาและการคุกคามทางเพศ: อบรมครูและนักเรียนในเรื่องเพศศึกษาที่ครอบคลุมสิทธิในร่างกายและความหลากหลายทางเพศ พร้อมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและระบบติดตามผลในโรงเรียน

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอ ปรับแก้ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. …. ในประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษา ขอให้ระบุให้ชัดเจนว่าสถานศึกษาทุกแห่งต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยทั้งทางร่างกายและสภาพจิตใจของผู้เรียน โดยมีระบบดูแลสวัสดิภาพ ความปลอดภัยและคุ้มครองสิทธิของผู้เรียนของสถานการศึกษานั้น ๆ

 “การลงโทษด้วยความรุนแรงเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการที่มีกฎหมายบังคับใช้ หน่วยงานรัฐจึงต้องเอาผิดอย่างจริงจังกับผู้กระทำความรุนแรงต่อเด็ก เพื่อสร้างความปลอดภัยและความรับผิดชอบในสถานศึกษา” ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา กล่าวทิ้งท้าย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง