หยุด! ประมูลคลื่น 29 มิ.ย. ชี้ทางออกให้ NT ใช้เพื่อประโยชน์สังคม

Getting your Trinity Audio player ready...

สภาผู้บริโภคเสนอทางออกให้รัฐบาล จัดสรรคลื่นความถี่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้ NT ใช้ประโยชน์ได้ และหากให้บริษัทเช่าต้องส่งเงินทั้งหมดเข้ากระทรวงการคลัง หวั่นฮั้วประมูลโทรคมนาคม 2 เจ้าได้ประโยชน์เกือบแสนล้าน

เป็นที่แน่ชัดว่าในการประมูลคลื่นความถี่ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รอบวันที่ 29 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ที่จะมีการเปิดประมูลคลื่นที่มีความสำคัญ ๆ ด้านกิจการโทรคมนาคม 2 คลื่น คือ คลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz นั้น จะไม่มีการแข่งขันในการเสนอราคาประมูล เพราะมีเพียงสองบริษัทใหญ่เท่านั้น คือ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (ค่ายทรู) และบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (ค่ายเอไอเอส) จะยื่นขอใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่

ทั้งนี้ สำหรับคู่แข่งในกิจการรายที่สาม คือ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือเอ็นที (NT) นั้นถอนตัวออกจากการประมูลโดยปริยายเมื่อ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ประกาศว่าจะไม่อนุญาตให้เอ็นทีเข้าร่วมประมูล ซึ่งทำให้ทั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างมุ่งประมูลคลื่นที่ตนเองใช้งานในปัจจุบัน โดยที่เป็นคาดการณ์กันว่า เมื่อไม่มีคู่แข่ง การประมูลครั้งนี้อาจได้รับเงินค่าประมูลที่ไม่ต่างจากเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้เกิดข้อกังขาว่านี่อาจจะเป็น “การฮั้วประมูล” ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่

ตามประกาศหลักเกณฑ์ในการประมูลคลื่นความถี่ของกสทช.กำหนดราคาประมูลขั้นต่ำในคลื่น 2100 MHz และ 2300 MHz ไว้ต่ำกว่าราคาตลาดที่เป็นจริงหากเทียบเคียงกับค่าเช่าคลื่นของทั้งสองบริษัทในปัจจุบัน

กสทช.กำหนดราคาขั้นต่ำของคลื่น 2100 MHz ไว้เพียง 4,500 ล้านบาทต่อ 2X5 MHz ต่อ 15 ปี หากคลื่นดังกล่าวถูกประมูลหมดทุกชุด (จำนวน 2X15 MHz) จะนำเงินเข้ารัฐเป็นรายได้แผ่นดินได้เพียง 13,500 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่คลื่นความถี่ช่วงคลื่นเดียวกัน บริษัทเอ็นที ปล่อยเช่าปีละ 3,900 ล้านบาท ต่อ 2X15 MHz ซึ่งปล่อยเช่าครบ 15 ปี จะได้รายได้สูงถึง 58,500 ล้านบาท เท่ากับบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ค่ายเอไอเอส) ซึ่งเป็นผู้เช่าในปัจจุบันได้ประโยชน์และลดต้นทุนจากการประมูลครั้งนี้มากถึง  45,000 ล้านบาท

ในส่วนคลื่น 2300 MHz กำหนดราคาขั้นต่ำไว้เพียง 2,596.15 ล้านบาทต่อ 10 MHz ต่อ 15 ปี หากคลื่น 2300 MHz ถูกประมูลหมดทุกชุด คลื่นนี้มีจำนวน 60 MHz จะนำเงินเข้ารัฐเป็นรายได้แผ่นดินได้เพียง 15,576 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่คลื่นนี้ บริษัท NT ปล่อยเช่าปีละ 4,510 ล้านบาทต่อ 60 MHz ซึ่งหากปล่อยเช่าครบ 15 ปี จะได้เงินมากถึง 67,650 ล้านบาท เท่ากับบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ค่ายทรู) ซึ่งเป็นผู้เช่าในปัจจุบันได้ประโยชน์และลดต้นทุนจากการประมูลครั้งนี้ สูงสุดถึง 52,074 ล้านบาท

แม้จะมีความเห็นของคนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจไม่พอใจที่จะให้คลื่นนี้กับบริษัทเอ็นที เพราะต่างเห็นว่าบริษัทเอ็นทีไม่ได้สนับสนุนให้เกิดการแข่งขัน ไม่มีบทบาทในกิจการโทรคมนาคมตามที่ควรจะเป็น ไม่เอื้อประโยชน์ให้กับประชาชน ทำตัวเป็นเสือนอนกิน ข้อครหาเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่ บริษัทเอ็นทีต้องชี้แจง

แต่ต้องยอมรับว่า หลักเกณฑ์ของ กสทช. ในการประมูลไม่ดีพอ ทำให้รัฐเสียหาย แถมเอื้อประโยชน์ให้กับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคมที่ผูกขาดและมีอำนาจเหนือตลาด ที่มีมูลค่าอย่างน้อย 97,074 ล้านบาท ใช่หรือไม่

ทางออกตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 42(2) ที่กำหนดว่า “คลื่นความถี่ในกรณีดังต่อไปนี้ กสทช.อาจอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่โดยวิธีการอื่น นอกจากการประมูล คือ (2) คลื่นความถี่ที่ กสทช.ประกาศกำหนดให้นำไปใช้ในกิจการเพื่อบริการสาธารณะ ความมั่นคงของรัฐ หรือ กิจการอื่นที่ไม่แสวงหากำไร” เป็นอำนาจของ กสทช. ที่สามารถบริหารจัดการคลื่นโทรคมนาคมได้เองโดยตรงและสามารถใช้อำนาจตามมาตรานี้ให้บริษัทเอ็นที เป็นผู้ได้คลื่นทั้ง 2100 MHz และ 2300 MHz เพื่อการเข้าถึงของกลุ่มเปราะบาง คนด้อยโอกาส หรือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสใช้ในราคาถูก โดยอาจจะกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 50 บาทต่อเดือน หรือกิจการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด

ทั้งนี้ กสทช. สามารถกำหนดเงื่อนไขหากเอ็นที นำคลื่นให้บริษัทโทรคมนาคมเช่าใช้งาน เงินค่าเช่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นขอให้ส่งให้กระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดิน การที่กสทช. อนุญาตให้ใช้คลื่นเพื่อบริการสาธารณะ นับว่าได้ประโยชน์ต่อกระทรวงการคลังแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมเอ็นทีได้แบ่งคลื่นใช้งาน สำนักงบประมาณไม่ต้องตั้งงบประมาณให้เอ็นที เช่าคลื่นจากบริษัททั้งสอง ถ้าเอ็นทีบริการดี มีมาตรฐาน ถูกใจ ประชาชนผู้บริโภคจะมีทางเลือกเพิ่มขึ้นในกิจการโทรคมนาคม

สภาผู้บริโภคต้องการชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับหลักเกณฑ์การประมูลให้เอื้อต่อการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ไม่เกิดความเสียหายต่อรัฐ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาด และมีกลไกควบคุมคุณภาพบริการหลังการประมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการโทรคมนาคมที่มีคุณภาพ ราคาที่เหมาะสม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือไม่มีทางเลือกเช่นในปัจจุบัน