
ระวังภัย นักศึกษาถูกมิจฉาชีพปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลอกให้โอนเงิน เสี่ยงถูกอายัดบัญชีที่ใช้รับเงินกู้ กยศ. พร้อมถูกอายัดเป็น “บัญชีม้าบริสุทธิ์”
สภาผู้บริโภคเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่กำลังระบาดช่วงนี้ในกลุ่มนักศึกษา มิจฉาชีพสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โทรศัพท์ไปหาและวิดีโอคอล พร้อมส่งเอกสารปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แจ้งว่าหมายเลขโทรศัพท์หรือบัตรประชาชนของผู้ถูกติดต่อเกี่ยวข้องกับคดีอาชญากรรมออนไลน์ และจะมีการออกหมายจับ
จากประเด็นดังกล่าว ผศ.อุดม งามเมืองสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ระบุว่า คลินิกกฎหมายของมหาวิทยาลัยได้รับการประสานงานจากตำรวจให้ช่วยดูแลนักศึกษาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลักษณะนี้ โดยพบว่ามิจฉาชีพใช้วิธีการควบคุมผ่านการโทรและวิดีโอคอลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ถูกติดต่อหวาดกลัวและเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง
สำหรับรูปแบบการหลอกลวงของมิจฉาชีพ ได้ใช้แนวทางเดิมที่ใช้มานานคือ การหลอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมใช้แนวทางขอเพิ่มเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์เพื่อส่งเอกสารปลอมและวิดีโอคอลคุมสั่งการ จากนั้นอ้างว่าต้องโอนเงินเข้าไปเพื่อตรวจสอบ หากผู้ถูกติดต่อไม่มีเงินก็จะถูกหลอกให้ไปบอกผู้ปกครอง โดยอ้างเรื่องการได้รับทุนการศึกษา พร้อมแนบเอกสารปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือครบถ้วน

รูปแบบการหลอกลวงที่เกิดขึ้น
ผศ.อุดม กล่าวต่อว่า กรณีของนิสิตนักศึกษาหลายรายสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของขบวนการ เช่น นางสาว ก. ถูกติดต่อและหลงเชื่อ จนโอนเงินของตนเองราว 99,500 บาทไปยังบัญชีธนาคารต่างประเทศในฮ่องกงที่มิจฉาชีพให้มา ต่อมานาย ข. ซึ่งถูกหลอกด้วยวิธีการเดียวกัน ถูกสั่งให้โอนเงินเข้าบัญชีของ ก. รวมเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทในสองครั้ง ก่อนที่ ก. จะถูกสั่งให้โอนต่อไปยังปลายทางต่างประเทศเช่นกัน ส่งผลให้บัญชีของ ก. ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ถูกอายัดทันที กระทบต่อการเรียนและการใช้ชีวิตโดยตรง
สำหรับ ข. สูญเงินรวมประมาณ 420,000 – 425,000 บาท โดยเส้นทางการเงินถูกโอนไปอย่างน้อย 3 บัญชี ได้แก่ บัญชีของ ก. รวมถึงบัญชีในชื่อ ค. และ ง. เมื่อผู้ปกครองของ ข. ทราบเรื่อง จึงเข้าแจ้งความ ทำให้มีคำสั่งอายัดธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
ในอีกกรณีหนึ่ง นางสาว เอ. ถูกหลอกด้วยวิธีเดียวกัน เริ่มจากโอนเงินของตนเอง 6,400 บาท แต่ต่อมามีบุคคลอื่นอีกสองรายถูกหลอกให้โอนเงินรวมกว่า 400,000 บาทเข้ามาที่บัญชีของ เอ. แล้วถูกสั่งให้โอนต่อไปยังปลายทางต่างประเทศ ขณะนี้บัญชีของ เอ. ถูกอายัด และยังมีความเสี่ยงที่จะถูกออกหมายเรียกหรือหมายจับจากท้องที่อื่นที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 หรือ พ.ร.ก.ไซเบอร์ฯ ฉบับใหม่ ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่สามารถระงับหรืออายัดบัญชีต้องสงสัยเพื่อสกัดกั้นเงินจากอาชญากรรมออนไลน์ เมื่อมีผู้เสียหายแจ้งความ เงินที่โอนผ่านบัญชีเหล่านี้จึงถูกติดตามและนำไปสู่การอายัดทันที
ดังนั้นจึงทำให้เจ้าของบัญชีซึ่งไม่รู้ตัวมาก่อนว่าถูกใช้เป็นช่องทางของมิจฉาชีพ กลับกลายเป็นผู้ถูกตั้งข้อสงสัยในคดีอาชญากรรมทางการเงินออนไลน์ โดยในปัจจุบันยังมีการแบ่งระดับบัญชีม้าตามความรุนแรง เช่น บัญชีม้าสีดำที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการฉ้อโกงออนไลน์ หรือแม้ในบางกรณีจะยังไม่มีการแจ้งความก็ตาม แต่หากธนาคารพบว่าบัญชีมีความน่าสงสัยหรือมีธุรกรรมผิดปกติ เจ้าของบัญชีก็อาจถูกระงับชั่วคราวเพื่อรอการตรวจสอบ ซึ่งสร้างภาระและผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
“บัญชีม้าบริสุทธิ์” ที่ยังไม่ได้รับการพูดถึง
ผศ.อุดม ชี้ให้เห็นอีกมุมที่สังคมยังกล่าวถึงไม่มากนัก คือเจ้าของบัญชีผู้สุจริตที่ถูกนำไปใช้ในการหลอกลวงผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ เจ้าของบัญชีเหล่านี้ไม่ได้รับจ้างเปิด ไม่ได้สมรู้ร่วมคิด แต่กลับถูกหลอกให้โอนต่อเงินในสภาวะกดดันทางจิตใจ จนตกอยู่ในสองสถานะพร้อมกัน เป็นทั้งผู้เสียหายที่สูญเงินของตนเอง และเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางการเงิน
“เมื่อมีการแจ้งความต่างพื้นที่ ตำรวจจำเป็นต้องออกหมายเรียกหรือหมายจับ เจ้าของบัญชีต้องเดินทางไปต่อสู้คดี ขณะเดียวกันบัญชีที่ใช้ดำเนินชีวิตก็ถูกอายัดทันที กระทบต่อการเรียน การทำงาน และครอบครัวอย่างหนัก โดยเฉพาะนิสิตที่รับเงินกู้ กยศ.” ผศ.อุดมกล่าว พร้อมระบุว่า มาตรการปราบปรามบัญชีม้าในปัจจุบันยังทำให้ผู้ถูกหลอกจำนวนมากต้องหาวิธีจ่ายเงินคืนเอง เพื่อให้เรื่องยุติ แม้ตนเองจะไม่ได้มีเจตนาเกี่ยวข้องก็ตาม
ข้อเสนอเชิงนโยบายถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ผู้บริโภคที่สุจริตต้องเผชิญชะตากรรมซ้ำสอง ผศ.อุดม เสนอว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีกลไกคัดแยกบัญชีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นบัญชีม้าบริสุทธิ์ ออกจากบัญชีที่รับจ้างเปิดอย่างแท้จริง เมื่อข้อเท็จจริงชี้ชัดว่าถูกหลอกและทำตามคำสั่ง ก็ควรมีกระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว เพื่อลดภาระการเดินคดีของผู้บริโภคที่บริสุทธิ์
นอกจากนี้ ควรมีแนวทางการอายัดและปลดอายัดบัญชีที่ไม่กระทบเกินจำเป็น โดยเฉพาะบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา หรือบัญชีธุรกิจรายย่อยซึ่งเป็นช่องทางทำมาหากินหลักของประชาชน รวมทั้งควรสร้างกลไกการประสานงานข้ามท้องที่ระหว่างตำรวจ อัยการ และสถาบันการเงิน เพื่อดูแลผู้ที่ถูกนำบัญชีไปใช้โดยไม่รู้ตัว
“ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นม้าบริสุทธิ์ คนกลุ่มนี้เป็นผู้เสียหายด้วย แต่วันนี้คนเหล่านี้ต้องไปสู้คดีเอง ผมอยากเห็นกลไกเชิงนโยบายช่วยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานได้ตรงจุด และไม่กระทบคนสุจริตเกินไป” ผศ.อุดมกล่าวทิ้งท้าย
คำเตือนถึงผู้บริโภค
นอกจากนี้ผู้บริโภคควรเพิ่มความระมัดระวัง หากมีผู้ติดต่ออ้างเป็นเจ้าหน้าที่ พร้อมขู่ด้วยหมายจับ และขอให้โอนเงินหรือยืมบัญชีเพื่อทำธุรกรรม ควรตัดการติดต่อทันที ห้ามโอนเงินหรือรับเงินที่ไม่ทราบที่มา และควรแจ้งความพร้อมเก็บหลักฐานการสื่อสารไว้ครบถ้วน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในสถานะผู้ต้องหาโดยไม่ตั้งใจ
สำหรับนักศึกษาและเยาวชน หากได้รับสายอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ มีหมายจับ และขอให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ หรือให้ยืมบัญชีหรือรับเงินแล้วโอนต่อ นั่นคือสัญญาณหลอกลวง ให้ตัดสาย ไม่โอน ไม่ส่งเอกสารหรือวิดีโอคอล และรีบปรึกษาผู้ปกครองหรืออาจารย์ที่ไว้ใจได้ทันที
ขณะที่ผู้บริโภคทั่วไป หากพบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีโดยไม่ทราบที่มา ห้ามโอนต่อโดยเด็ดขาด ให้รีบแจ้งธนาคารและแจ้งความทันที เพื่อบันทึกข้อเท็จจริงและป้องกันตนเองจากการถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งนี้ เจ้าของบัญชีที่สงสัยว่าถูกนำไปใช้เป็นช่องทางของมิจฉาชีพ สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจไซเบอร์ โทร. 1441 หรือสายด่วนสภาผู้บริโภค โทร. 1502
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง