
“ครีมกันแดด” อาจเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่คนในประเทศที่มีแดดจัดนิยมใช้มากอย่างเช่นประเทศไทย แต่เชื่อหรือไม่ว่ายอดขายครีมกันแดดในไทยอาจไม่พุ่งสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเครื่องสำอาง หากไม่มี “อินฟลูเอนเซอร์” ที่ใช้ช่องทางโชเชี่ยวมีเดียกล่อมเกลาผู้บริโภคซื้อหาครีมกันแดดหลากหลายยี่ห้อที่มีการแข่งขันสูงในตลาดเครื่องสำอาง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อินฟลูเอนเซอร์” มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่ามีผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่นำเสนอโดยอินฟลูเอนเซอร์บางส่วน ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันแดดตามที่โฆษณาไว้ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญด้านความน่าเชื่อถือและการคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคมักเชื่อมั่นในตัวอินฟลูเอนเซอร์ที่ตนติดตาม จึงอาจตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้ตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพตามที่คาดหวัง
ข้อมูลจากนีลเซน (Nielsen) พบว่าอุตสาหกรรมที่ยังใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing) สูงสุด ยังคงเป็นกลุ่มความงาม ด้วยสัดส่วนที่มากถึง 42% ของเม็ดเงินที่ใช้ไปกับอินฟลูเอนเซอร์ ทั้งหมด รองลงมาได้แก่ แฟชั่น อาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยี ฟิตเนส สินค้าฟุ่มเฟือย โดยในกลุ่มความงาม สกินแคร์ เป็นกลุ่มที่ใช้เม็ดเงินไปกับอินฟลูเอนเซอร์ในสัดส่วน 70% และผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม 30%
แน่นอนว่า “ครีมกันแดด” เป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่ผู้บริโภคยุคปัจจุบันตัดสินใจเลือกซื้อด้วยคำแนะนำจาก “อินฟลูเอนเซอร์” ลำดับต้น ๆ
ไทยพบค่าเอสพีเอฟในครีมกันแดด ไม่ตรงปก
เดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา จากการที่สภาผู้บริโภค ได้จัดทำผลสำรวจครีมกันแดด 20 แบรนด์ในประเทศไทย เพื่อตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่วางขายในตลาด ซึ่งเป็นครีมกันแดดที่ถูกแนะนำผ่านการรีวิวโดยอินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่ ผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ยังมีผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่มีค่า SPF ไม่ตรงตามที่ระบุไว้บนฉลาก ซึ่งคล้ายคลึงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
โดยจากผลการทดสอบค่าปัจจัยป้องกันแสงแดด หรือค่าเอสพีเอฟ (Sun Protection Factor: SPF) จาก 20 ตัวอย่างที่ทดสอบ พบว่า 15 ตัวอย่างมีค่าเอสพีเอฟตรงตามที่ระบุบนฉลาก ในขณะที่ 5 ตัวอย่าง ไม่ตรงตามที่ระบุ โดยมีค่าต่ำกว่าที่อ้างไว้ ส่วนค่าระดับประสิทธิภาพการป้องกันรังสี UVA หรือพีเอ (Protection grade of UVA: PA) จาก 20 ตัวอย่าง มี 16 ตัวอย่างมีค่าพีเอตรงตามที่ระบุ และ 4 ตัวอย่างมีค่าพีเอไม่ตรงตามที่ระบุ
ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่ามีผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่นำเสนอโดยอินฟลูเอนเซอร์บางส่วน ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันแดดตามที่โฆษณาไว้ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญด้านความน่าเชื่อถือและการคุ้มครองผู้บริโภค เนื่องจากผู้บริโภคมักเชื่อมั่นในตัวอินฟลูเอนเซอร์ที่ตนติดตาม จึงอาจตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์โดยไม่ได้ตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด ทำให้เสี่ยงต่อการได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพตามที่คาดหวัง
โดยตาม พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 การแสดงฉลากที่ไม่เป็นความจริงและทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญของเครื่องสำอาง ถือเป็นความผิดและมีบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่มีผลทดสอบไม่ตรงตามฉลากจึงเข้าข่ายผิดกฎหมาย ซึ่งบทความระบุโทษทั้งสำหรับผู้ขายและผู้ผลิต/ผู้นำเข้า
นอกจากนี้ยังมีประเด็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับค่าเอสพีเอฟ โดยตามกฎหมายไทย ค่าเอสพีเอฟสูงสุดที่แสดงได้คือ เอสพีเอฟ 50 หรือ เอสพีเอฟ 50+ เท่านั้น แม้ว่าผลทดสอบจะสูงกว่านี้ก็ตาม ซึ่งชี้ให้เห็นว่าการเลือกครีมกันแดดไม่ควรยึดติดกับตัวเลขที่สูงเกินไป แต่ควรพิจารณาจากคุณภาพที่ได้มาตรฐานเป็นหลัก
การใช้ครีมกันแดดที่มีค่าเอสพีเอฟ ต่ำกว่าป้ายฉลาก มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร
เมื่อผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด ผู้ใช้ได้รับการปกป้องจากรังสียูวีบี (UVB) น้อยกว่าที่คาดหวัง อาจทำให้ผิวโดนแดดเผาไหม้ได้ง่ายขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายของผิวหนัง เช่น จุดด่างดำ ฝ้า ความผิดปกติของเม็ดสีผิว รวมไปถึงความเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
การสัมผัสรังสียูวีในระยะยาวโดยไม่ได้รับการปกป้องอย่างเพียงพอ นำไปสู่ความเสี่ยของโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจเพิ่มอัตราการเสียชีวิตได้ในระยะยาว
ซึ่งล่าสุดมีข่าวในต่างประเทศ โดยมีผู้บริโภครายหนึ่งที่ระบุว่าตนเองใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ครั้ง แต่กลับตรวจพบเป็นมะเร็งผิวหนังชนิด “บาซัลเซลล์ คาร์ซิโนมา” ที่บริเวณจมูก แม้แพทย์จะไม่สามารถบ่งชี้ชัดเจนได้ว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากประสิทธิภาพของครีมกันแดดที่ไม่ได้มาตรฐานจริงหรือไม่ แต่ประเด็นดังกล่าวทำให้เกิดความกังวล นำมาสู่การเปิดเผยผลการทดสอบครีมกันแดดในออสเตรเลีย จำนวน 20 ยี่ห้อที่ระบุค่าเอสพีเอฟ 50 หรือสูงกว่า โดยองค์กรผู้บริโภค CHOICE ในออสเตรเลีย พบว่ามีถึง 16 ตัวอย่างที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ไม่สามารถปกป้องผิวได้ตามค่าเอสพีเอฟบนฉลาก โดยตัวอย่างที่แย่ที่สุดคืออัลตร้า ไวโอเลท ลีน สกรีน เอสพีเอฟ 50+ (Ultra Violette Lean Screen SPF 50+) ซึ่งวัดค่าเอสพีเอฟได้เพียง 4-5 เท่านั้น
การตรวจสอบไม่ได้เกิดในออสเตรเลียเท่านั้น แต่ยังเกิดในสหราชอาณาจักร ที่พบว่ามีครีมกันแดดบางยี่ห้อ เช่น อัลตร้า แฟมิลี่ เอสพีเอฟ 30 (Ultrasun Family SPF30) และมอริสันส์ มอยเจอร์ไรซิ่ง ซัน สเปรย์ เอสพีเอฟ 30 (Morrisons Moisturising Sun Spray SPF30) ที่ไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของค่าเอสพีเอฟ ซึ่งถูกหน่วยงานผู้บริโภค “Which?” เตือนไม่ควรซื้อ เนื่องจากประสิทธิภาพจริงต่ำกว่าที่ระบุบนฉลากและอาจเสี่ยงต่อการได้รับการปกป้องที่ไม่เพียงพอ
กรณีดังกล่าวสร้างความสนใจในทั่วโลก และสร้างความวิตกกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของครีมกันแดดและการควบคุมกฎระเบียบในหลายประเทศ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีกฎหมายควบคุมเข้มงวดและถือเป็นมาตรฐานสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ได้มีการสอบสวนและเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลทบทวนมาตรฐานการทดสอบเอสพีเอฟ
จากการตรวจสอบ ครีมกันแดด สู่การผลักดัน “ร่างจริยธรรมของอินฟลูเอนเซอร์” โดยสภาผู้บริโภค
กรณีดังกล่าวนี้ สะท้อนถึงความจำเป็นในการผลักดัน “ร่างจริยธรรมของอินฟลูเอนเซอร์” เพื่อยกระดับมาตรฐานและควบคุมการโฆษณาให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลสนับสนุนและนำเสนอข้อเท็จจริง รวมถึงความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการตลาดออนไลน์และการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค
ซึ่งปัจจุบันทางสภาผู้บริโภคยังคงเดินหน้าเรียกร้องให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเข้ามาตรวจสอบอย่างละเอียดและดำเนินการตรวจสอบ โดยผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาควบคุมมาตรฐานของผลิตภัณฑ์กันแดดอย่างเข้มงวด เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและสามารถปกป้องผิวจากอันตรายของแสงแดดได้อย่างแท้จริง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง