
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอันตรายยังขายเกลื่อนออนไลน์ เตือนภัยแล้ว เพิกถอนแล้ว แต่ยังวนกลับมาขายซ้ำ ถึงเวลาปรับ พ.ร.บ.อาหาร ให้เท่าทันเกมการค้าขายยุคใหม่
แม้จะมีคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันตราย “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” ยังคงขายเกลื่อนออนไลน์ ทำให้ดูเหมือนไม่มีใครรับผิดชอบ ทั้งการโฆษณาเกินจริง การอ้างรักษาโรค เห็นผลรวดเร็ว ไปจนถึงการสวมเลข อย. ปลอม หรือใช้เลขไม่ตรงกับสินค้า หลายกรณีตรวจพบการลักลอบผสมสารต้องห้ามที่เสี่ยงทำลายสุขภาพในระยะยาว สภาผู้บริโภคเสนอแก้พ.ร.บ.อาหารให้ทันเกมการค้ายุคใหม่
กรณีสมุนไพร “จิ่วเจิ้งปู่เซินเจียวหนัง” ที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพิกถอนทะเบียนไปแล้ว แต่จากการเฝ้าระวังของสภาผู้บริโภค ยังพบวางขายในช่องทางออนไลน์ เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนตัวล่าสุดที่ถูกเตือนภัย Lishou (ลิโซ่) ซึ่งถูกเตือนภัยหลายครั้ง แต่ยังไม่หายไปจากตลาดออนไลน์จนถึงปัจจุบัน คือภาพสะท้อนชัดเจนว่าการเตือนจาก อย. อย่างเดียวไม่เพียงพอ เมื่อไม่มีใครจัดการให้ถึงต้นตอ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบอาหารเสริมอันตรายอีกหลายกลุ่ม ที่ยังขายอยู่โดยแทบไม่สะดุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมลดน้ำหนักที่ผสมยาควบคุมพิเศษ อาหารเสริมเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่แอบผสมยา อาหารเสริมสมุนไพรที่ปนเปื้อนสเตียรอยด์ หรือกลุ่มบำรุงข้อ บำรุงไต บำรุงตับ ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อได้ง่าย แม้จะมีประวัติการเตือนภัยมาก่อนก็ตาม


ตาบอดจริง เกือบตายจริง เคสที่รัฐปกป้องไม่ทัน
ผลกระทบจากอาหารเสริมอันตรายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ข่าวเตือน แต่คือความสูญเสียจริงของผู้บริโภค ที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคพบผู้ป่วยโรคต้อหินรายหนึ่ง ต้องสูญเสียดวงตาข้างหนึ่งอย่างถาวร หลังหลงเชื่อโฆษณาอาหารเสริมบำรุงสายตา ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ทั้งที่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์รองรับ
ขณะเดียวกัน ยังมีกรณีผู้บริโภคที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักที่ซื้อออนไลน์ ส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงจากสารต้องห้าม อย่างไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารที่เคยถูกใช้ในยาลดน้ำหนักและถูกสั่งห้าม เนื่องจากอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต แต่ยังคงถูกลักลอบนำมาปนเปื้อนในอาหารเสริมลดน้ำหนักจำนวนมาก
กรณีเหล่านี้สะท้อนคำถามสำคัญว่า ต้องมีผู้บริโภคบาดเจ็บ สูญเสียอวัยวะ หรือเกือบเสียชีวิตอีกกี่ราย ระบบคุ้มครองผู้บริโภคจึงจะขยับจริงจัง
โทษเบา กฎหมายเก่า เร่งผลักดัน พ.ร.บ.อาหาร
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อการค้าขายเคลื่อนย้ายไปอยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ภก.ภาณุโชติ ทองยัง อนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ชี้ว่า ปัญหาสำคัญมาจากช่องโหว่ของกฎหมายอาหารที่ใช้มายาวนาน ทำให้อำนาจของหน่วยงานรัฐไม่เท่าทันรูปแบบการค้าขายยุคใหม่ อีกทั้งบทลงโทษยังไม่รุนแรงพอที่จะยับยั้งผู้ประกอบการที่หวังผลกำไร
ด้วยเหตุนี้ สภาผู้บริโภคจึงเสนอให้เร่งแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 เพื่อเพิ่มโทษการโฆษณาเกินจริง ควบคุมการโฆษณาอาหารทางออนไลน์ และเอาผิดกับข้อความที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอันตรายยังคงหาช่องกลับมาขายซ้ำได้
ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคยังเรียกร้องให้มีระบบเฝ้าระวังหลังวางจำหน่าย (Post-Marketing) ที่เข้มข้นขึ้น การสุ่มตรวจสินค้าอย่างสม่ำเสมอ การขึ้นบัญชีดำผู้ผลิตและผู้จำหน่าย รวมถึงการเปิดเผยชื่อและรูปภาพผลิตภัณฑ์อันตรายอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจ
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้แพลตฟอร์มตลาดออนไลน์ร่วมรับผิดชอบ ตรวจสอบว่าสินค้าที่นำมาจำหน่ายเข้าข่ายสินค้าห้ามขายหรือมีการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ ก่อนอนุญาตให้วางขาย เพราะหากปล่อยให้โลกออนไลน์เป็นพื้นที่ปลอดกฎหมายต่อไป ผู้บริโภคก็จะยังคงเป็นผู้รับความเสี่ยงแทนผู้กระทำผิด
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค ขอเตือนผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่โฆษณาเกินจริง เพราะสิ่งที่ได้อาจไม่ใช่ผลลัพธ์ตามคำโฆษณา แต่คือความสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืนได้
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



