Getting your Trinity Audio player ready... |

“ซื้อของใหม่แต่ชำรุด ต้องรับผิดเอง… ทำไมผู้บริโภคถึงยังไม่มีทางเลือก?” จากเสียงสะท้อนของผู้บริโภคถึงระบบที่ไม่เป็นธรรม สู่การผลักดัน “เลมอน ลอว์” กฎหมายรับมือปัญหาสินค้าชำรุด ที่จะเปลี่ยนโฉมตลาดสินค้าไทยทั้งระบบ
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ผู้บริโภคไทยยังต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการเรียกร้องสิทธิจากสินค้าที่ชำรุดบกพร่อง “เวทีประชุมหารือทิศทางการผลักดัน พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. ….” ที่จัดขึ้นเมื่อ 23 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของภาคประชาชนในการผลักดันร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เลมอน ลอว์ (Lemon Law)” ให้เดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม
เสียงจริงจากผู้บริโภค เรื่องสิทธิที่ไม่ควรเป็นเรื่องต้องลุ้น
กฤษณะ น้ำดอกไม้ ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้รถยนต์แบรนด์หนึ่งที่รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องการชดเชยเยียวยาที่เป็นธรรมจากบริษัทรถยนต์ หลังพบปัญหาอะไหล่บกพร่องซ้ำซาก ระบุว่าต้องเผชิญกับเงื่อนไขเคลมที่ไม่เป็นธรรม ทั้งที่ปัญหาเกิดจากตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่การใช้งานผิดพลาด
“พวกเราไม่ได้เรียกร้องให้ทุกอย่างฟรี แต่ต้องการการชดเชยที่เป็นธรรม” กฤษณะ ระบุ พร้อมเสริมว่า การรวมกลุ่มของผู้บริโภคเพื่อเรียกร้องสิทธินั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้แรง เวลา และทรัพยากรมากมาย ซึ่งไม่ควรเป็นภาระของประชาชนทั่วไป
กฤษณะ ยังชี้ให้เห็นว่า ในโลกที่สินค้าแต่ละชนิดมีหลากหลายรุ่น หลายยี่ห้อ ปัญหาสินค้าใหม่ที่ชำรุดเสียหายหลังการใช้งานเพียงไม่นานไม่ใช่เรื่องใหม่ และในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีการออกกฎหมายเลมอน ลอว์ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต่อสินค้าที่บกพร่อง โดยเปิดทางให้ผู้บริโภคสามารถขอซ่อม เปลี่ยน หรือคืนสินค้าได้อย่างชัดเจนหากพิสูจน์ได้ว่าเป็นปัญหาจากตัวผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่การใช้งานผิดพลาด พร้อมเน้นว่า หากประเทศไทยมีกฎหมายลักษณะเดียวกัน จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตแข่งขันกันเรื่องคุณภาพมากกว่าการลดต้นทุนแบบไร้มาตรฐาน อีกทั้งยังลดภาระของผู้บริโภคที่ต้องพิสูจน์หรือไล่ตามสิทธิด้วยตนเองในทุกกรณี
นอกจากนี้ กฤษณะ ยังกล่าวถึงตัวอย่างของรถยนต์ไฟฟ้าที่ปัจจุบันมีการรับประกันแบตเตอรี่ตลอดอายุการใช้งานว่าเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตสามารถพัฒนาสินค้าให้ทนทานและมีมาตรฐานได้ หากมีกลไกกฎหมายที่ส่งเสริมความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย
ส่วนส่วนเสียงสะท้อนของผู้เสียหายจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่ประสบเหตุแบตเตอรี่ระเบิดจนบุตรชายได้รับบาดเจ็บ เผยว่า แม้จะแจ้งไปยังบริษัทผู้ผลิตแล้ว แต่กลับไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมผู้บริโภคต้องรวมกลุ่มเพื่อเรียกร้องสิทธิ ทั้งที่ควรเป็นสิ่งที่ได้รับโดยอัตโนมัติ
ภาครัฐเห็นพ้องว่าต้องมีและต้องเร่งให้ทันความเสียหายจริง
ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ยืนยันว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ผ่านการกลั่นกรองหลายรอบ และได้รับความเห็นชอบในหลักการ เหลือเพียงการจัดการข้อสังเกตจากคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะที่วราลักษณ์ โสศรีทา ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นพ้องกับความจำเป็นในการผลักดันกฎหมายเลมอน ลอว์ โดยมองว่าการคุ้มครองผู้บริโภคในมิติเชิงอุตสาหกรรมไม่ควรถูกมองข้าม ทั้งนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับภารกิจของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งผู้แทนจาก สมอ. ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง พ.ร.บ. มอก. เพื่อรองรับการเรียกคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยอย่างเป็นระบบ
“ผู้บริโภคคือผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการพัฒนากฎหมายเลมอน ลอว์ หากผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อมาตรฐานสินค้าอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นทาง ก็จะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพสินค้าทั้งระบบ” ผู้แทนจาก สมอ. เน้นย้ำ
ส่วน ผู้แทนจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้ความเห็นว่า การเยียวยาผ่านระบบออนไลน์สามารถทำได้จริง หากมีกฎหมายเฉพาะทางรองรับ การลำดับสิทธิการเยียวยาช่วยลดความสับสน แต่ปัจจุบันกระบวนการพิสูจน์ความเสียหายยังซับซ้อน ดังนั้นจึงมองว่ากฎหมายเลมอน ลอว์ จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับสิทธิผู้บริโภคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ
มุมมองที่ต้องรับฟังจากภาคอุตสาหกรรม
ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า แม้เห็นด้วยกับเป้าหมายในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้สินค้าที่ปลอดภัย ใช้งานได้ตามที่คาดหวัง แต่ก็ยังตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายใหม่อาจทำให้การดำเนินการล่าช้า หรือกระทบต่อกลไกตลาดที่ใช้การร้องเรียนเป็นรายกรณีได้ดีอยู่แล้ว
“หากมีกฎหมายเลมอน ลอว์ อาจกระทบต่อโปรโมชัน สินค้าเซลล์ราคาพิเศษ หรือทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น” ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมฯ ระบุ พร้อมเสนอให้ใช้กลไกที่มีอยู่ควบคู่การแก้ไขรายกรณีที่อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าในบางเรื่อง
ปรับกฎหมายให้ตรงจุด เสริมความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค
ผศ.อุดม งามเมืองสกุล คณะทำงานผู้ร่างกฎหมายฯ ตั้งข้อสังเกตเชิงโครงสร้างว่า ปัจจุบันประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยยังขาดนิยามที่ชัดเจนของคำว่าชำรุดบกพร่อง และแม้จะมีบทบัญญัติกว่า 1,755 มาตรา แต่มีเพียง 3 มาตราเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งภาระการพิสูจน์ความเสียหายก็ยังตกอยู่กับผู้ซื้อ ขณะที่ผู้ขายกลับสามารถอ้างข้อยกเว้นความรับผิดไว้ล่วงหน้าได้ตามกฎหมาย
ผศ.อุดม ย้ำว่า โครงสร้างแบบนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคเสียเปรียบในทางปฏิบัติอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความเสียหายซ่อนอยู่ภายใน เช่น คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นที่เสีย แต่ภายนอกไม่มีร่องรอยให้เห็น
“ตอนนี้แค่จะขอเปลี่ยนสินค้ายังยาก ซ่อมแล้วซ่อมอีก แต่ผู้บริโภคไม่มีสิทธิเลือก” อ.อุดม กล่าว พร้อมระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่กลไกกฎหมายต้องกลับหัวใหม่ โดยวางสิทธิผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ปล่อยให้ต้องสู้ลำพังกับเงื่อนไขและภาระพิสูจน์ที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังเสนอว่า การยกระดับกฎหมายไม่ควรจำกัดแค่สินค้าราคาแพงหรือชิ้นใหญ่ แต่ควรครอบคลุมถึง สินค้าในชีวิตประจำวัน ที่มักถูกมองข้าม เช่น อุปกรณ์ราคาถูก ของใช้ทั่วไปในร้าน 20 บาท ที่หากไม่มีมาตรฐาน ก็สามารถก่อให้เกิดอันตรายหรือสร้างความเสียหายได้เช่นกัน พร้อมระบุว่า หากไม่มีกฎหมายเลมอน ลอว์ เราจะไม่มีวันสร้างมาตรฐานเดียวกันให้กับตลาดสินค้าไทยได้
เพราะ “สิทธิผู้บริโภค” ไม่ควรต้องรอ
วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา อนุกรรมการด้านสินค้าและบริการทั่วไป สภาผู้บริโภค ชี้ว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย (PL Law) ที่สามารถเรียกคืนสินค้าได้หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตราย เช่น กรณีถุงลมนิรภัยทาคาตะ แต่กฎหมายนี้ยังไม่ครอบคลุมสินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ในลักษณะที่ไม่ถึงขั้นอันตราย เช่น ชำรุดเร็ว เสื่อมสภาพ หรือไม่ตรงปก ทั้งที่ในความเป็นจริง สินค้าเช่นนี้มีจำนวนมากและส่งผลเสียต่อผู้บริโภคในวงกว้าง
วีระพันธ์ ได้ยกตัวอย่างกรณีซัมซุง ที่เกิดอาการจอเส้นเขียวหลังอัปเดตซอฟต์แวร์ ที่ผู้ใช้จำนวนมากประสบปัญหาเหมือนกัน แต่บริษัทปฏิเสธความรับผิดเพราะเกินระยะประกัน หากไทยมีกฎหมายเลมอน ลอว์ ผู้บริโภคจะสามารถขอซ่อมหรือเปลี่ยนได้โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการศาลที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูง รวมทั้งระบุว่า กฎหมายเลมอน ลอว์จะช่วยลดภาระของหน่วยงานรัฐ และทำให้สินค้า แม้แต่สินค้าลดราคาหรือช่วงปลายปี ต้องมีมาตรฐานและความรับผิดชอบจากผู้จำหน่าย
“เราไม่ควรเป็นประเทศที่รับสินค้าระบายสต็อกจากต่างประเทศ และผู้บริโภคไม่ควรต้องต่อสู้ทีละคน แต่ควรมีกฎหมายที่ยกระดับความเป็นธรรมให้เกิดกับทุกคนอย่างเท่าเทียม” วีรพันธ์ ระบุ
ขณะที่ ผศ.ดร.มานนท์ สุขละมัย จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ชี้ว่า การเรียกคืน (Recall) รถยนต์ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ แสดงถึงความรับผิดชอบของผู้ผลิต แต่ในไทยกลับกลายเป็นภาพลบต่อแบรนด์ การมีกฎหมายเลมอน ลอว์จะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้มีมาตรฐานและไม่ผลักภาระไปยังผู้บริโภคเพียงฝ่ายเดียว
สัญญาณบวกจากหลายพรรคการเมือง
พรรคการเมืองที่เข้าร่วม เช่น พรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และรวมไทยสร้างชาติ แสดงจุดยืนสนับสนุนกฎหมายเลมอน ลอว์ อย่างชัดเจน พร้อมผลักดันเข้าสู่สภาหากร่างผ่านขั้นตอนคณะรัฐมนตรี โดยมองว่ากฎหมายนี้จะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ที่เป็นธรรม ลดภาระการฟ้องร้อง และทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการซื้อสินค้าในประเทศมากขึ้น
ไม่ใช่แค่เรื่องของสินค้า แต่คือคุณภาพชีวิตของประชาชน
ผศ.ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ คณะทำงานผู้ร่างกฎหมายฯ ได้อธิบายหลักการของเลมอน ลอว์ ว่ากฎหมายนี้เปรียบได้กับมะนาวที่ดูดีภายนอกแต่ข้างในกลับเปรี้ยว เช่นเดียวกับสินค้าที่ชำรุดหลังใช้งานไม่นาน แม้ดูเหมือนไม่มีปัญหา ผู้ขายก็มักปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นความผิดของผู้ใช้ ทั้งที่ปัญหาเกิดจากการออกแบบหรือผลิตผิดพลาด กฎหมายปัจจุบัน เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ หรือ PL Law ยังไม่ชัดเจนเพียงพอในการเยียวยาผู้บริโภคในกรณีลักษณะนี้
ผศ.ดร.เอมผกา ชี้ว่า กฎหมายเลมอน ลอว์จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างสำคัญ ด้วยการระบุลำดับขั้นของการเยียวยา เช่น การซ่อม เปลี่ยน ลดราคา หรือคืนสินค้าอย่างชัดเจน และกำหนดแนวทางการพิสูจน์ที่เป็นธรรม โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญแทนการผลักภาระไปที่ผู้ซื้อ อีกทั้งยังสะท้อนแนวปฏิบัติจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือเกาหลีใต้ ซึ่งมีกฎหมายลักษณะนี้ใช้กับสินค้าทั่วไป ไม่จำกัดแค่รถยนต์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพราะความชำรุดบกพร่องไม่ได้หมายถึงการพังเสียหายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการไม่ตรงปก ไม่เป็นไปตามที่โฆษณา หรือไม่มีคู่มือและฉลากภาษาไทย ซึ่งแนวทางนี้ควรถูกยกระดับในไทยเช่นกัน
อีกมิติที่สำคัญ คือ กฎหมายเลมอน ลอว์ยังเกี่ยวข้องกับประเด็นสิ่งแวดล้อม เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์และดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าที่ชำรุดเร็ว การมีกฎหมายนี้จะกระตุ้นให้ผู้ผลิตยกระดับคุณภาพสินค้าให้ทนทาน ใช้งานได้นาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคและประเทศในระยะยาว
“กฎหมายนี้ไม่เพียงปกป้องผู้ซื้อ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยยกระดับคุณภาพสินค้า ให้ผลิตภัณฑ์มีความทนทาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว” ผศ.ดร.เอมผกา กล่าวทิ้งท้าย
เวทีเสวนาครั้งนี้ตอกย้ำว่า ผู้บริโภคไม่ควรต้องพึ่งดวงว่าจะเจอสินค้ามีปัญหาหรือไม่ หรือศูนย์บริการจะรับผิดชอบหรือเปล่าอีกต่อไป แต่ควรมีสิทธิที่ชัดเจนตามกฎหมาย การมีกฎหมายเลมอน ลอว์ จะเปลี่ยนสมการความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ลดภาระของผู้บริโภคในการพิสูจน์ความผิด และกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนาคุณภาพสินค้าตั้งแต่ต้นทาง เพราะในท้ายที่สุด การคุ้มครองผู้บริโภคไม่ใช่เพียงแค่เรื่องสินค้าเสีย แต่คือการปกป้องสิทธิ ศักดิ์ศรี และความปลอดภัยของคนไทยทุกคน