| Getting your Trinity Audio player ready... |

จากผู้เสียชีวิตถุงลมทาคาตะ รายที่ 5 ในไทย ผู้บริโภคคือเหยื่อรับเคราะห์ สะท้อนความล่าช้าหน่วยงานกำกับ สภาผู้บริโภคชี้ต้องแก้ทั้งระบบ ไม่ให้เกิดความสูญเสียซ้ำ
เหตุการณ์สะเทือนใจให้แก่ผู้บริโภคในไทย จากกรณีที่มีผู้ขับขี่รถยนต์เสียชีวิตรายที่ 5 ที่เกิดขึ้นจากการระเบิดของถุงลมนิรภัยทาคาตะ (Takata Airbag) ในช่วง 12 ธันวาคม 2568 ในประเทศไทย เป็นภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างในการจัดการสินค้าที่เป็นอันตราย ซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าและไม่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ สภาผู้บริโภคขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมย้ำว่า ความสูญเสียครั้งนี้เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ หากระบบการเรียกคืนสินค้าและการคุ้มครองผู้บริโภคทำงานอย่างจริงจังและทันต่อสถานการณ์ตั้งแต่แรกเริ่ม
ทั้งนี้เมื่อประเมินในระดับโลก กรณีถุงลมนิรภัยทาคาตะถูกยอมรับว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตความปลอดภัยของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2551 มีการเรียกคืนถุงลมนิรภัย ยี่ห้อทาคาตะ เกือบ 100 ล้านชิ้น ครอบคลุมรถยนต์ใน 16 ยี่ห้อ ได้แก่ เชฟโรเล็ต (Chevrolet) ปี 2007 – 2015, บีเอ็มดับบลิว (BMW) ปี 1998 – 2018, ฟอร์ด (Ford) ปี 1998 – 2014, ฮอนด้า (Honda) ปี 1998 – 2014, มาสด้า (Mazda) ปี 1996 – 2014, มิตซูบิชิ (Mitsubishi) ปี 2005 – 2015, นิสสัน (Nissan) ปี 2000 – 2014, โตโยต้า (Toyota) ปี 2001 – 2014, เล็กซัส (Lexus) ปี 2006 – 2017, จากัวร์ (Jaguar) ปี 2009 – 2015, แลนด์ โรเวอร์ (Land Rover) ปี 2007 – 2012, อาวดี้ (Audi) ปี 1997 – 2017, เมอเซเดส-เบนซ์ (Mercedes-Benz) ปี 2005 – 2017, ซูบารุ (Subaru) ปี 2003 – 2014, โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ปี 2006 – 2018, เทสล่า (Tesla) ปี 2012 – 2016 โดยมีรายงานผู้เสียชีวิตในทั่วโลกแล้วมากกว่า 30 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยรายจากการทำงานผิดพลาดของถุงลมนิรภัยที่เกิดการระเบิด ส่งเศษโลหะพุ่งใส่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจนได้รับอันตรายถึงชีวิต ทั้งนี้ หลายประเทศจัดการปัญหาดังกล่าวในฐานะ “สินค้าที่มีความบกพร่องร้ายแรง” และใช้กลไกกฎหมายความรับผิดของผู้ผลิตเข้ามาควบคุมอย่างเข้มงวด
สำหรับประเทศไทย หน่วยงานรัฐและผู้ประกอบการรับรู้ถึงความเสี่ยงของถุงลมนิรภัยทาคาตะมาเป็นเวลาหลายปี โดยมีรถยนต์มากกว่า 1.7 ล้านคัน จากหลายยี่ห้อและหลายรุ่นที่ติดตั้งถุงลมนิรภัยดังกล่าว โดยมีการประกาศเรียกคืนและดำเนินการเปลี่ยนถุงลมไปแล้วบางส่วน แต่การจัดการโดยรวมยังเป็นไปอย่างล่าช้าและกระจัดกระจาย ส่งผลให้จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูลเดือนกรกฎาคม 2568) ยังมีรถยนต์ประมาณ 502,000 คัน ที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณะตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนว่ารถที่เข้าข่ายความเสี่ยงยังคงตกค้างอยู่ในระดับหลายแสนคัน แม้จะมีการรณรงค์เตือนภัยเป็นระยะ ขณะที่ความสูญเสียในประเทศไทยสะสมแล้วอย่างน้อย 8 ราย แบ่งเป็นผู้เสียชีวิต 5 ราย และผู้บาดเจ็บสาหัสอย่างน้อย 3 ราย ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความล่าช้าของกระบวนการเรียกคืน
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้าง ความล่าช้าไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลจากข้อจำกัดหลายด้านผสมกัน ทั้งระบบการแจ้งเตือนที่ไม่สามารถเข้าถึงเจ้าของรถปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะรถมือสองที่เปลี่ยนมือหลายครั้ง ความคลาดเคลื่อนของฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย รวมถึงการขาดกลไกบังคับที่มีกรอบเวลาชัดเจน ทำให้การเรียกคืนถุงลมนิรภัยในทางปฏิบัติยังคงเป็นลักษณะสมัครใจ มากกว่ามาตรการด้านความปลอดภัยที่ต้องเร่งดำเนินการโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
อีกทั้งในหลายกรณี ผู้บริโภคที่พยายามติดต่อขอเปลี่ยนถุงลมนิรภัยกลับพบอุปสรรค ตั้งแต่การได้รับข้อมูลไม่ตรงกัน การถูกปฏิเสธว่าไม่อยู่ในขอบข่ายที่ต้องเปลี่ยน ทั้งที่รถเป็นรุ่นเสี่ยง ไปจนถึงปัญหาระบบที่ระบุว่าเปลี่ยนแล้ว ทั้งที่ผู้ใช้รถยืนยันว่าไม่เคยได้รับการเปลี่ยนจริง จากช่องว่างเหล่านี้ทำให้ความเสี่ยงยังตกอยู่กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นฝ่ายที่ไม่สามารถตรวจสอบความปลอดภัยของอุปกรณ์ภายในรถได้ด้วยตนเอง และต้องใช้ชีวิตอยู่กับความไม่แน่นอนบนท้องถนนทุกวัน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สภาผู้บริโภคได้ติดตามและดำเนินการต่อประเด็นถุงลมนิรภัยทาคาตะอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ นับตั้งแต่ปี 2565 ภายหลังได้รับทราบกรณีผู้เสียชีวิตจากถุงลมนิรภัยระเบิด โดยเร่งเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยและแนวทางการตรวจสอบรถที่เข้าข่ายความเสี่ยงให้ผู้บริโภครับรู้ พร้อมรวบรวมเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายและผู้ใช้รถที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนถุงลมนิรภัย ประสานการเยียวยาในกรณีที่เกิดความเสียหาย รวมถึงจัดทำและส่งข้อเสนอเชิงนโยบายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดกระบวนการเรียกคืนและอุดช่องว่างด้านความปลอดภัย โดยมีการทำหนังสือและส่งข้อมูล ข้อเท็จจริง และข้อเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมการขนส่งทางบก บริษัทรถยนต์ และหน่วยงานกำกับอื่น ๆ พร้อมทั้งจัดเวทีแถลงข่าวและติดตามความคืบหน้าเป็นระยะ
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังได้ขยายการดำเนินการลงสู่ระดับพื้นที่ โดยทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด ขอความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเตือนภัยและการเรียกคืนถุงลมนิรภัยทาคาตะผ่านกลไกในจังหวัด เพื่อให้ข้อมูลเข้าถึงผู้ใช้รถจริง โดยเฉพาะต่างจังหวัดและกลุ่มรถมือสองที่มักหลุดจากการสื่อสารของผู้ผลิต แต่การดำเนินการดังกล่าวยังคงอยู่บนฐานของการขอความร่วมมือเป็นหลัก
ทางด้านระดับนโยบาย กรณีถุงลมนิรภัยทาคาตะ ทำให้มีข้อสังเกตถึงประสิทธิภาพของกลไกการบังคับใช้กฎหมายด้านความปลอดภัยสินค้า โดยเฉพาะบทบาทของคณะกรรมการด้านความปลอดภัยในสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งตามกฎหมายมีอำนาจตามมาตรา 29 (2) วรรคสอง ในการออกคำสั่งเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค อาทิ การสั่งห้ามจำหน่ายสินค้าไม่ปลอดภัย การสั่งให้มีการทดสอบโดยหน่วยงานกลาง การกำหนดให้ผู้ประกอบการจัดทำแผนเรียกคืนและแผนเยียวยาความเสียหาย รวมถึงกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ดำเนินการตามคำสั่ง คณะกรรมการด้านความปลอดภัยยังมีอำนาจในการดำเนินการหรือจัดทำแผนดังกล่าวขึ้นเองได้ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
แต่ในทางปฏิบัติ การจัดการปัญหาสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงยังคงเน้นการประสานงานและการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นหลัก ส่งผลให้การกำหนดกรอบเวลาและมาตรการเชิงบังคับยังไม่ปรากฏอย่างชัดเจนเท่าที่ควร สถานการณ์นี้สะท้อนความท้าทายในการนำอำนาจตามกฎหมายมาใช้ให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนของปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและชีวิตของผู้บริโภค โดยเฉพาะกรณีที่มีเหตุสูญเสียเกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง บทเรียนจากถุงลมนิรภัยทาคาตะจึงอาจเป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนแนวทางการบังคับใช้กฎหมายและการจัดทำแผนเรียกคืนสินค้าให้มีความชัดเจน เป็นระบบ และสามารถลดความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงทีมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะเริ่มมีความพยายามยกระดับมาตรการ เช่น การเชื่อมระบบแจ้งเตือนกับการต่อทะเบียนรถ แต่ผลลัพธ์เชิงปฏิบัติยังไม่สอดคล้องกับขนาดของปัญหา ตัวเลขการเปลี่ยนถุงลมนิรภัยเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่รถที่เข้าข่ายความเสี่ยงยังคงอยู่ในระดับหลักแสน ความล่าช้าเช่นนี้หมายถึงช่วงเวลาที่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงใช้รถที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตโดยไม่รู้ตัว
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
จากเหตุทั้งหมด สภาผู้บริโภคเห็นว่า การจัดการปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตไม่อาจหยุดอยู่เพียงการแสดงความเสียใจหรือการเยียวยาหลังเกิดเหตุ แต่ต้องมีความรับผิดชอบเชิงโครงสร้างอย่างชัดเจน สภาผู้บริโภคจึงขอเรียกร้องให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคลาออกทั้งคณะภายใน 30 วัน เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความล่าช้าและความล้มเหลวที่ผ่านมา และเปิดทางให้มีการปรับปรุงกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง ภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ และยึดความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง
โศกนาฏกรรมจากถุงลมนิรภัยทาคาตะควรเป็นจุดเปลี่ยนของระบบ หากการเรียกคืนสินค้าที่เป็นอันตรายยังไม่เข้มแข็งเพียงพอ ความสูญเสียย่อมไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และทุกวันที่การแก้ไขยังล่าช้า คือทุกวันที่ผู้บริโภคยังต้องเสี่ยงชีวิตอยู่บนท้องถนนโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ว่ารถยนต์ของตนเองอยู่ในกลุ่มที่ต้องเปลี่ยนถุงลมนิรภัยหรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ www.checkairbag.com หากพบว่ารถเข้าข่าย สามารถติดต่อศูนย์บริการหรือคอลเซนเตอร์ (Call Center) ของแต่ละบริษัทเพื่อนัดวันเข้ารับบริการเปลี่ยนชิ้นส่วน ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และหากผู้บริโภคนำรถรุ่นที่มีปัญหาไปเปลี่ยนถุงลมนิรภัย แต่ถูกเรียกเก็บเงิน หรือไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ สามารถร้องเรียนได้ที่ เว็บไซต์สภาผู้บริโภค



