ข้อควรรู้ก่อนทำ “สัญญากู้ยืมเงิน”

🔹 กู้ยืมเงินเกิน 2,000 บาทขึ้นไป ต้องมีสัญญาการกู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษร และต้องมีลายเซ็นผู้กู้ในสัญญา หากไม่มีหลักฐานหรือสัญญา จะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ แม้ว่าหนี้นั้นจะชอบด้วยกฎหมายก็ตาม

🔹 ดอกเบี้ยเงินกู้ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือร้อยละ 1.25 ต่อเดือน หากเจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี ให้ถือว่าดอกเบี้ยนั้นตกเป็นโมฆะ ยกเว้นกรณีเป็นสถาบันการเงินหรือธนาคารที่กฎหมายให้อำนาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ แต่ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน

🔹 สิ่งที่ต้องระบุในสัญญากู้ยืมเงิน ได้แก่

1. วันที่ที่ทำสัญญากู้เงิน

2. ชื่อ – นามสกุล ผู้ขอกู้เงินและผู้ให้กู้เงิน

3. จำนวนเงินที่กู้ (ต้องเขียนจำนวนเงินเป็นตัวหนังสือกำกับไว้ด้วย)

4. กำหนดการชำระคืน

5. ดอกเบี้ยต่อเดือน/ต่อปี (ถ้ามี)

6. ลายมือชื่อผู้กู้ยืม

7. ลายมือชื่อผู้ให้กู้ (มีหรือไม่มีก็ได้)

8. อื่นๆ เช่น สถานที่ทำสัญญา ผลของการผิดสัญญา พยานในการทำสัญญา เป็นต้น

🔹 ข้อควรระวังเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน

1. ตรวจสอบจำนวนเงิน และทำความเข้าใจเนื้อหาในสัญญาก่อนเซ็นสัญญาทุกครั้ง

2. ห้ามลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเด็ดขาด หรือสัญญาที่มีการเว้นเว้นช่องว่างผิดปกติ เนื่องจากผู้ให้กู้อาจจะเติมข้อความหรือเนื้อหาอื่นๆ ในสัญญาหลังจากที่เราเซ็นชื่อไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญญาในอนาคตได้

3. ไม่ควรนำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับการทำประโยชน์ในที่ดิน (น.ส.3) ไปให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงิน

4. สัญญาต้องทำอย่างน้อย 2 ฉบับ โดยให้ผู้กู้ยืมถือไว้ด้วย 1 ฉบับ

5. ในสัญญาควรมีลายเซ็นพยานฝ่ายผู้กู้ยืมอย่างน้อย 1 คน

6. การชำระหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ต้องขอรับใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงินซึ่งมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมลงกำกับด้วยทุกครั้ง เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ชำระหนี้แล้ว

7. เมื่อชำระหนี้ทั้งหมดต้องขอสัญญากู้คืนจากผู้ให้กู้ยืมด้วย

ที่มา : https://bit.ly/3TEJ4Oh และ https://bit.ly/3EAXjzr