
สแกมเมอร์ใช้แพลตฟอร์มใกล้ตัวอย่าง Facebook – Gmail – TikTok เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น ความเสียหายเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 13,000 บาทต่อคน แม้หลายคนจะรีบแจ้งเหตุทันที แต่กว่า 44% ไม่ได้เงินคืนแม้แต่บาทเดียว สะท้อนความจำเป็นต้องยกระดับการคุ้มครองเร่งด่วน
รายงาน State of Scams in Thailand Report 2025 สะท้อนภาพที่น่าตกใจว่าคนไทยกำลังเผชิญภัยสแกมเมอร์ในระดับที่รุนแรงกว่าที่เคย ไม่ใช่เฉพาะคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตหนักเท่านั้น แต่รวมถึงคนทั่วไปในชีวิตประจำวันด้วย งานวิจัยชี้ว่า 72% ของคนไทยเคยถูกสแกมเมอร์ติดต่อ และในหนึ่งปี ผู้บริโภคหนึ่งคนอาจเผชิญสแกมมากถึง 172 ครั้ง เฉลี่ยเกือบทุกสองวันครั้ง ขณะที่กว่า 60% ถูกหลอกสำเร็จภายในปีเดียว ซึ่งสะท้อนว่าสแกมไม่ได้เป็นเหตุการณ์ไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในชีวิตของประชาชนไทยแทบทุกวัย
ที่น่ากังวลไม่แพ้กันคือ เด็กอายุ 7 – 17 ปี ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดย 27% ของผู้ปกครองระบุว่าลูกเคยถูกหลอกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แสดงให้เห็นว่าภัยไซเบอร์ไม่ได้เลือกเหยื่อ และระบบป้องกันปัจจุบันยังเอาไม่อยู่ในการคุ้มครองเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง
ช่องทางที่สแกมเมอร์ใช้เข้าถึงผู้บริโภคส่วนใหญ่คือแพลตฟอร์มใกล้ตัว เช่น Facebook (66%) Gmail (37%) และ TikTok (32%) รวมถึงแอปสื่อสารต่าง ๆ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้งานเป็นประจำ ทำให้โอกาสตกเป็นเหยื่อสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้บริโภคหลงเชื่อ ความเสียหายต่อคนไทยเฉลี่ยสูงถึง 12,955 บาทต่อคน นำไปสู่ความเสียหายรวมของประเทศกว่า 115,300 ล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานรุ่นใหม่และผู้ที่มั่นใจว่าตนเอง “รู้เท่าทันสแกม” กลับเป็นกลุ่มที่สูญเสียเงินสูงที่สุด
แม้ผู้บริโภคจำนวนมากจะรายงานเหตุไปยังผู้ให้บริการทางการเงิน แต่ข้อมูลชี้ว่า มีเพียง 29% เท่านั้นที่ได้เงินคืน ขณะที่ 44% ไม่ได้เงินคืนเลย ซึ่งเกิดจากหลายช่องโหว่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งการบล็อกบัญชีม้าที่ล่าช้า การตรวจสอบแอปฯ ปลอมที่ยังไร้มาตรฐาน การปิดซิมม้าที่ทำได้ยากขึ้น รวมถึงการที่ผู้บริโภคต้องฟ้องร้องเองเมื่อเกิดความเสียหาย ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาจริงที่สภาผู้บริโภคพบหลัง พ.ร.ก.ไซเบอร์ ฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ยังไม่สามารถป้องกันและเยียวยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สภาผู้บริโภคยังพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีมาตรการสำคัญที่หลายประเทศนำไปใช้แล้ว ได้แก่ ระบบหน่วงเวลาโอนเงิน (Delayed Transaction) ที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีเวลาในการตรวจสอบก่อนเงินจะออกจากบัญชี ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถลดความเสียหายได้จริง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องผลักดัน “ระบบรับผิดอัตโนมัติ” เพื่อให้ธนาคารและแพลตฟอร์มออนไลน์มีแรงจูงใจในการป้องกันและตรวจจับภัยไซเบอร์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้บริโภคต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพังในระบบที่ยังตอบสนองช้า และไม่ทันกลยุทธ์ของมิจฉาชีพยุคใหม่
ข้อมูลทั้งหมดนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่า ภัยสแกมเมอร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการเชิงระบบ การบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง และความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ไม่ใช่ภาระของผู้บริโภคเพียงฝ่ายเดียว การป้องกันจากต้นทางและระบบเยียวยาที่มีมาตรฐานคือสิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งจัดทำให้เป็นรูปธรรม หากต้องการหยุดความเสียหายที่เกิดขึ้นทุกวันในขณะนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง



