
“วิมานหนาม” เรื่องราวที่สะท้อนปัญหาธุรกิจขายบ้านมือสองไม่สุจริต ให้ความหวังคนซื้อบ้าน ปกปิดข้อมูล แต่ สุดท้ายผู้ซื้อไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สินจริง สภาผู้บริโภคพร้อมช่วยเหลือ เทียบกรณีศึกษา “อีซี่โฮม” สู้จนชนะคดี ศาลพิพากษาคืนความเป็นธรรมให้ผู้เสียหาย
เรื่องราวสะเทือนใจในรายการข่าวดัง โหนกระแส ตอน “วิมานหนาม” บ้านที่ไม่มีวันได้อยู่จริง สะท้อนปัญหาคลาสสิกของผู้บริโภค “จากความฝันอยากมีบ้าน เป็นฝันร้ายที่ต้องเสียทั้งเงิน น้ำตา และอนาคต” เมื่อ “นายหน้า” หรือ “บริษัทตัวกลาง” ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายและความไม่รู้ของผู้ซื้อบ้านมาเป็นเครื่องมือโกยกำไร จนผู้บริโภคต้องสูญเงินหลักแสนถึงหลักล้าน โดยไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
แฉกลโกงซื้อบ้าน “ติดจำนอง” มาขายต่อ
จากกรณี “วิมานหนาม” ทุกข์ของคนซื้อบ้านไม่ได้บ้าน มีรูปแบบการหลอกลวงที่ซับซ้อนขึ้น โดยนายหน้าอ้างว่ามีบ้านราคาถูกให้เช่าซื้อ โดยให้ผู้บริโภควางเงินดาวน์หรือชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนเหมือนกับผ่อนบ้านกับธนาคาร แต่ความจริงแล้ว บ้านเหล่านั้น ยังติดจำนองอยู่กับธนาคาร หรือเป็นทรัพย์สินของธนาคาร ผู้ขายจึงมีหนี้จำนองที่ต้องรับผิดชอบกับธนาคารหรือยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่นำมาขายต่อ
นายหน้าประกาศโฆษณาขายบ้านมือสอง ผู้บริโภคทั่วไปจึงเข้าใจว่ามีกรรมสิทธิ์ในบ้านที่เสนอขาย ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อวางเงินดาวน์และทำสัญญา “เช่าซื้อ” หรือ “จ้างประมูล” โดยอ้างว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อผ่อนครบ แต่สุดท้ายนายหน้ากลับไม่ดำเนินการไถ่ถอนจำนองหรือชำระค่าบ้านกับธนาคารตามสัญญา บ้านถูกยึดขายทอดตลาด ผู้ซื้อเสียทั้งเงินดาวน์และเงินผ่อนรายเดือนที่สะสมมานานหลายปี รวมถึงไม่ได้บ้านตามที่ฝันไว้
หลายรายสูญเงินหลักแสนถึงหลักล้านบาท บางคนหมดตัวถึงขั้นเป็นหนี้เพิ่มจากการกู้เงินมาซื้อบ้าน “ในฝัน” ที่ไม่เคยได้เป็นเจ้าของจริง กรณีนี้จึงกลายเป็น “วิมานหนาม” ของผู้บริโภคที่ควรได้บ้านที่เป็นที่พักพิง กลับกลายเป็นกับดักหนี้และความทุกข์ของผู้บริโภคจำนวนมาก
กรณี “อีซี่โฮม” สภาผู้บริโภคช่วย “ชนะคดี” เรียกคืนค่าผ่อนบ้านจากผู้ขายไม่สุจริต
กรณี “วิมานหนาม” ในรายการโหนกระแส ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ บริษัท อีซี่โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนปัญหาธุรกิจขายบ้านมือสองไม่สุจริตลักษณะเดียวกัน โดยบริษัทเข้าประมูลซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดีโดย “ไม่ไถ่ถอนจำนอง” แล้วนำมาปล่อยเช่าซื้อให้ผู้บริโภคในราคาสูงกว่าหลายเท่าตัว เช่น ซื้อบ้านจากการขายทอดตลาดเพียง 95,000 บาท แต่ปล่อยเช่าซื้อให้ผู้บริโภคในราคา 2,200,000 บาท โดยไม่บอกผู้บริโภคทราบในวันทำสัญญาว่าบ้านติดจำนอง ผู้บริโภคชำระเงินไปกว่า 471,540 บาท แต่บริษัทไม่ไปดำเนินการไถ่จำนองจนถูกธนาคาฟ้องบังคับจำนอง ภายหลังผู้บริโภคทราบจึงหยุดจ่ายเพราะเห็นความผิดปกติของบ้านที่เช่าซื้อ แต่บริษัทแทนที่จะเลือกจ่ายหนี้ธนาคารที่บังคับจำนอง กลับฟ้องผู้เช่าซื้อต่อศาลอ้างข้อหาผิดสัญญาเช่าซื้อ
คดีนี้สภาผู้บริโภคได้เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายที่ถูกฟ้องเนื่องจากเห็นว่าบริษัททำธุรกิจเช่าซื้อบ้านโดยไม่สุจริตเอาเปรียบผู้บริโภค และฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายและเงินค่าเช่าซื้อที่ผู้บริโภคได้ชำระไปคืน จนศาลพิพากษายกฟ้อง ด้วยเหตุผลที่ว่า การที่โจทก์ (บริษัทอีซี่โฮม) มีภาระที่จะต้องไถ่ถอนทรัพย์จำนอง ทั้งต้องจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทเป็นชื่อโจทก์ แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์มีการดำเนินการดังกล่าว กลับนำทรัพย์พิพาทออกให้จำเลยเช่าซื้อและรับชำระเงินจากจำเลยกว่า 471,540 บาท เป็นจำนวนที่สูงกว่าราคาซื้อทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดหลายเท่า โจทก์มิได้ขวนขวายเพื่อดำเนินการไถ่ถอนจำนองทรัพย์พิพาทและจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์เป็นชื่อโจทก์ หรือมอบหลักประกันว่ากรรมสิทธิ์ทรัพย์พิพาทจะตกเป็นสิทธิแก่จำเลย การกระทำของโจทก์ย่อมไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นการใช้สิทธิด้วยความสุจริตโดยคำนึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรมไม่เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551
ซึ่งมีเจตนารมณ์มุ่งคุ้มครองผู้บริโภคมิให้ถูกเอารัดเอาเปรียบเกินสมควร ถือเป็นคดีตัวอย่างในการใช้ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 12 เพื่อพิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจากการประกอบธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม
เมื่อบ้านในฝัน กลายเป็นบ่วงหนี้
ผู้บริโภคในคดีลักษณะนี้มักเผชิญความเสียหายหลายด้าน ทั้งสูญเงินดาวน์และเงินผ่อนรายเดือนโดยไม่ได้กรรมสิทธิ์ ไม่สามารถขอสินเชื่อบ้านจากธนาคาร เพราะบ้านยังติดจำนอง ถูกบริษัทฟ้องกลับข้อหาผิดสัญญา ทั้งที่บริษัทไม่มีสิทธิในทรัพย์สินนั้น เสียโอกาสในการมีบ้านและเครดิตทางการเงินพังทลาย
สิ่งที่น่ากังวลคือ ธุรกิจ “นายหน้าอสังหาฯ” เหล่านี้ยังคงแพร่หลายผ่านสื่อออนไลน์ ใช้โฆษณาหว่านล้อมผู้บริโภคกลุ่มรายได้น้อยที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อธนาคาร เช่น “เช่าซื้อได้เลย ไม่ต้องมีเครดิตบูโร” หรือ “บ้านมือสองราคาถูก ผ่อนตรงกับเจ้าของ” ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นกับดักทางกฎหมายที่ผู้ซื้อไม่รู้ตัว
สำหรับผู้บริโภคที่สนใจจะซื้อบ้านมือสองจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ สภาผู้บริโภคมีข้อแนะนำ ดังนี้
ก่อนตัดสินใจซื้อควรตรวจสอบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านติดจำนองหรือไม่ โดยสิ่งที่ผู้บริโภคควรทำก่อนตัดสินซื้อบ้านมือสอง คือ การขอสำเนาโฉนดที่ดินจากผู้ขายเพื่อนำมาตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ได้แก่ ด้านหน้าโฉนด ตรวจสอบชื่อ-นามสกุลของเจ้าของกรรมสิทธิ์ว่าเป็นบุคคลเดียวกับผู้ขายหรือไม่ หากเป็นบริษัทหรือนิติบุคคลอื่น ต้องตรวจสอบเอกสารการมอบอำนาจ
ส่วนด้านหลังโฉนด (สารบัญจดทะเบียน) ต้องระบุรายการจดทะเบียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับที่ดินแปลงนั้น ๆ หากมีรายการ “จำนอง” หรือ “ขายฝาก” จะปรากฏอยู่บนหลังโฉนด โดยจะระบุชื่อผู้รับจำนอง (เช่น ธนาคาร) และวงเงินจำนองไว้ด้วย อีกวิธีหนึ่งที่ปลอดภัยที่สุด คือการตรวจสอบข้อมูลที่สำนักงานที่ดิน เพราะข้อมูลที่สำนักงานที่ดินจะเป็นข้อมูลล่าสุดและเป็นทางการ
สภาผู้บริโภคได้ยกระดับการคุ้มครองสิทธิในกรณีลักษณะนี้อย่างต่อเนื่อง มีการจัดเวทีประชุมหารือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง และมีข้อเสนอเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ดังนี้
- เนื่องด้วยปัจจุบัน “ธุรกิจเช่าซื้อบ้าน” ยังไม่มีกฎหมายควบคุมสัญญาเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค จึงเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาพิจารณากำหนดให้ธุรกิจเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 35 ทวิ ประกอบกับมาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดธุรกิจที่ควบคุมสัญญาและลักษณะของสัญญา พ.ศ.2542 โดยกำหนดข้อสัญญาผู้ให้เช่าซื้อต้องระบุในสัญญาให้ผู้บริโภคทราบถึงสถานะของทรัพย์สินที่เช่าซื้อว่าเป็นทรัพย์ติดจำนอง รวมกำหนดระยะเวลาในการไถ่ถอนจานองไว้ในสัญญาให้ชัดเจน ทั้งนี้ไม่ควรเกิน 6 เดือน รวมถึงการห้ามใช้ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
- เสนอให้กรมบังคับคดีมีมาตรการทางกฎหมายบังคับกำหนดระยะเวลาไถ่ของผู้ที่เข้าประมูลได้ทรัพย์จากการขายทอดตลาด และกรณี นิติบุคคลผู้เข้าประมูลซื้อทรัพย์ติดจำนอง ให้กรมบังคับคดี ตรวจสอบสถานะ งบการเงินด้วย ส่งรายงานงบการเงิน หากขาดส่งเกิน 3 ปี ควรระงับสิทธิประมูลซื้อทรัพย์ขายทอดตลาด / รวมทั้งตัวบุคคลที่เป็นกรรมการนิติบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม เพื่อป้องกันผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สุจริต
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้หลงซื้อวิมานหนาม บ้านที่กำลังผ่อนโดนยึด และถูกปฏิเสธการรับผิดชอบ หรือพบเห็นพฤติกรรมขายบ้านมือสองที่อาจเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค สามารถร้องเรียนได้ที่เว็บไซต์สภาผู้บริโภค tcc.or.th หรือ สายด่วน 1502
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง



