
‘ความดัน-เบาหวาน-ไขมันในเลือด’ ครองแชมป์ 3 อันดับแรก โรคฮิต คนไทยใช้สิทธิบัตรทองมากที่สุด รัฐแบกงบอ่วม 1.3 หมื่นล้านต่อปี สภาผู้บริโภค แนะใช้ ‘ฉลากไฟจราจร’ ป้องกันความเสี่ยง ลดภาระสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยรายงาน “10 อันดับโรคที่คนไทยใช้สิทธิบัตรทองรักษามากที่สุด ปี 2567” จากการใช้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) พบ “โรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ” ครองอันดับ 1 มีผู้เข้ารับบริการกว่า 23 ล้านครั้ง รองลงมา คือ “โรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน” กว่า 12.8 ล้านครั้ง และ “ภาวะความผิดปกติของระบบเผาผลาญไขมัน” อีกกว่า 12.2 ล้านครั้ง โดยข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2562–2566 พบว่า 3 โรคนี้ติดอันดับต่อเนื่อง สะท้อนวิกฤตสุขภาพคนไทย สภาผู้บริโภคแนะเปลี่ยนพฤติกรรม ลดภาระสาธารณสุข
มลฤดี โพธิ์อินทร์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายและนวัตกรรม สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สถานการณ์ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจและสมอง ซึ่งไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การกินอาหารรสจัด อาหารแปรรูปหรือไขมันสูง การนอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์ และการขาดการออกกำลังกาย พฤติกรรมเหล่านี้ค่อย ๆ สะสมจนร่างกายเกิดความผิดปกติ เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และภาวะอ้วน ซึ่งล้วนเป็นบันไดสู่โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง
แม้ระบบบัตรทองจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้ฟรี แต่ในทางเศรษฐศาสตร์สุขภาพ ค่ารักษาโรคเหล่านี้มีมูลค่าสูงมาก ข้อมูลจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ชี้ให้เห็นว่า ต้องใช้จ่ายงบประมาณกว่า 52% หรือคิดเป็นเงินกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลปี 2567) เพื่อจัดการและรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ที่มีการใช้งบประมาณไปถึง 1,800 ล้านบาท ต่อปี และเมื่อพิจารณาในระดับบุคคล ค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานในแต่ละปีมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6,442 บาทต่อคนต่อปี และจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 7,995 บาทต่อคนต่อปี ในกลุ่มที่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการลงทุนด้านการป้องกันโรคเชิงรุกเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระบบสาธารณสุขของประเทศ (อ้างอิง:: https://www.thecoverage.info/news/content/7850)
มลฤดีแนะนำว่า เพื่อป้องกันโรคและลดภาระค่ารักษา ผู้บริโภคสามารถดำเนินงานได้ด้วยตัวเอง โดยควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อให้เหมาะสม เพราะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดไขมันสะสม และป้องกันการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังทางเลือกในการบริโภคที่จะช่วยลดปริมาณน้ำตาลคือ “การบริโภคคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ถั่ว ธัญพืช หรือขนมปังโฮลวีต จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดค่อย ๆ เพิ่มช้าๆ ไม่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินมากเกินไป และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ลดไขมันในเลือด และสนับสนุนระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างสมดุล” นางสาวมลฤดีกล่าว
สุดท้าย มลฤดีย้ำว่า การป้องกันย่อมคุ้มค่ากว่าการรักษา เพราะเพียงปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ และเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ก็สามารถลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดค่าใช้จ่ายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้เช่นกัน
ที่ผ่านมา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และ สภาผู้บริโภค เคยเสนอแนวคิดนโยบายเรื่อง “ฉลากไฟจราจร” เพื่อให้ผู้บริโภคอ่านฉลากและเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยใช้ “สี” เป็นสัญลักษณ์บอกระดับความเหมาะสมของปริมาณสารอาหาร ได้แก่
- สีเขียว หมายถึง ปริมาณที่ไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ “รับประทานได้”
- สีเหลือง หมายถึง ปริมาณค่อนข้างสูง “ควรรับประทานแต่น้อย”
- สีแดง หมายถึง ปริมาณสูงและอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ “ควรหลีกเลี่ยง”

อย่างไรก็ตาม แม้มีความพยายามเสนอแนวคิดนี้ไปยังรัฐบาล เพื่อให้มีการกำหนด “ฉลากไฟจราจร” ในฉลากอาหาร แต่แนวคิดนี้ยังไม่ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานรัฐ ปัจจุบันประเทศไทยยังคงใช้ ฉลากโภชนาการแบบย่อ (Guideline Daily Amounts หรือ GDA) ที่เป็นสีขาวมาตรฐาน ซึ่งแสดงข้อมูลเป็นตัวเลข เช่น ปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แม้จะเป็นมาตรฐานสากล แต่กลับ “เข้าใจยาก” สำหรับผู้บริโภคทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการคำนวณโภชนาการหรือไม่รู้ว่าค่าที่เหมาะสมต่อวันควรเป็นเท่าใด อีกทั้ง ฉลากโภชนาการแบบย่อ ยังใช้ตัวเลขเพียงอย่างเดียว ทำให้การประเมินคุณค่าทางโภชนาการต้องอาศัยการคำนวณด้วยตนเอง ต่างจาก ฉลากไฟจราจร ที่ใช้ “สี” เพื่อสื่อสารอย่างเข้าใจง่าย เห็นชัดในครั้งแรก
หากในอนาคตประเทศไทยนำแนวคิดฉลากไฟจราจรมาปรับใช้จริง ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกอาหารได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น เข้าใจคุณค่าทางโภชนาการได้ในพริบตา และสุดท้ายจะนำไปสู่สังคมที่คนไทยดูแลสุขภาพได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และลดภาระค่ารักษาที่ไม่จำเป็นในอนาคตได้อย่างยั่งยืน