
กระแสรักษาออฟฟิศซินโดรม ด้วยศาสตร์กดจุดคลายพังผืดได้รับความนิยมมากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้ผ่านอบรมหลักสูตรระยะสั้น ไม่สามารถรักษาได้ เสี่ยงทำผู้บริโภคเจ็บตัว แนะตรวจสอบก่อนตัดสินใจรักษา
โรคที่เกิดจากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือออฟฟิศซินโดรม ยังคงเป็นโรคยอดฮิตของคนทำงานยุคใหม่ การนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ใช้กล้ามเนื้อซ้ำ ๆ จนเกิดพังผืดอักเสบ มีอาการปวดตึงตั้งแต่ศีรษะ คอ หลัง ไหล่ บ่า ไปถึงแขนและข้อมือ หลายคนจึงมองหาการแพทย์ทางเลือกเพื่อบรรเทาอาการ หนึ่งในศาสตร์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นคือ “การกดจุดคลายพังผืด” หรือ “ผ่าตัดเทียม” ซึ่งเป็นการบำบัดโดยไม่ต้องเปิดผิวหนัง เน้นแก้ปัญหาพังผืดและเส้นเอ็นผิดปกติที่เป็นต้นเหตุของอาการปวดเรื้อรัง ผู้เชี่ยวชาญเตือนผู้บริโภคตรวจสอบก่อนรักษา ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้น ไม่สามารถรักษาได้ อาจเสี่ยงเจ็บตัวมากขึ้น
ศาสตร์การกดจุดคลายพังผืดคืออะไร?

ศรีสุวรรณ ควรขจร ผู้สืบสานศาสตร์ผ่าตัดเทียมพังผืด อธิบายว่า การกดจุดคลายพังผืดเป็นศาสตร์แพทย์ทางเลือกที่ช่วยบำบัดอาการปวดเรื้อรังที่เกิดจากพังผืดและเส้นเอ็นผิดปกติ โดยใช้อุปกรณ์การผ่าตัดเทียมชนิดไม่มีคมกดบริเวณผิวหนัง ไล่ไปตามแนวกล้ามเนื้อหรือจุดกดเจ็บ โดยไม่เกิดบาดแผลตามชั้นผิวหนังที่ทำการรักษาเพื่อช่วยสลายพังผืดที่สะสม ศาสตร์นี้พัฒนาขึ้นโดย อาจารย์หมอประทีป ไวคำนวณ ภายใต้ชื่อ Artificial Operation of Fibrosis (การผ่าตัดพังผืดเทียม) และถูกนำมาใช้ช่วยรักษาโรคที่พบได้บ่อย เช่น ออฟฟิศซินโดรม ไหล่ติด นิ้วล็อก หรือข้อเข่าเสื่อม
ตามระเบียบปกติ ผู้ที่ต้องการทำหัตถการนี้อย่างถูกต้องต้องผ่านหลักสูตรอบรม 5 วันจาก กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งเน้นให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น แม้จบหลักสูตรก็ยังไม่สามารถลงมือรักษาผู้ป่วยได้ทันที หากไม่มีประสบการณ์จริงจำนวนมากและการฝึกปฏิบัติซ้ำอย่างต่อเนื่อง
ระวังหลักสูตรระยะสั้น เสี่ยงเจ็บตัวฟรี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับมีการเปิดอบรมหลักสูตรลัดเพียง 1–2 วัน ใช้ชื่อคล้าย “นวดกดจุดคลายพังผืด” จนทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเป็นหลักสูตรถูกต้องตามมาตรฐาน ทั้งที่ในความเป็นจริง หลักสูตรสั้น ๆ เหล่านี้ไม่สามารถทำให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะเพียงพอ และอาจเสี่ยงอันตรายต่อผู้ป่วยได้
“ผู้จัดหลักสูตรอบรมระยะสั้นนี้ ต้องตระหนักว่า การทำหัตถการที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงผ่านผิวหนังและเนื้อเยื่อของผู้ป่วย เป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้ป่วยจะต้องรู้สึกเจ็บ อีกทั้ง ต้องอาศัยกำลังที่เหมาะสมเพื่อให้เข้าถึงต้นตอของปัญหาอย่างถูกต้อง” ศรีสุวรรณ กล่าว
ดังนั้น การเปิดสอนคอร์สระยะสั้นเพียงสองวัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในการทำหัตถการประเภทนี้ อาจเข้าข่ายขาดความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและต่อสาธารณะ อีกทั้งยังนำไปสู่คำถามสำคัญว่า หากผู้เรียนที่ผ่านหลักสูตรสั้น ๆ นำความรู้ที่มีอย่างจำกัดไปประยุกต์ใช้อย่างไม่ถูกต้องจนเกิดความเสียหายต่อผู้ป่วย ผู้จัดอบรมจะสามารถรับผิดชอบผลกระทบที่เกิดขึ้นได้เพียงพอหรือไม่
สำหรับผู้บริโภคที่มีอาการปวด แต่ไม่ต้องการกินยา หรือหลีกเลี่ยงการผ่าตัด ปัจจุบันมีทางเลือกด้านการแพทย์หลากหลายแขนงให้พิจารณา สิ่งสำคัญคือผู้บริโภคต้องมีความรอบรู้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ และเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อตนเอง ควรตรวจสอบที่มาของศาสตร์การรักษาที่สนใจว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด รวมถึงดูใบรับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกก่อนตัดสินใจรับบริการ
“การเลือกใช้บริการอย่างรอบคอบมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากวิธีรักษาที่อาจไม่ถูกต้อง และป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคต้องกลับมาบาดเจ็บหรือเจ็บหนักกว่าเดิมจากการรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน” ศรีสุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย



