สนามเด็กเล่น ไม่ปลอดภัย ปัญหา “เชิงโครงสร้าง” ที่ซุกอยู่ในเครื่องเล่น

สนามเด็กเล่น ไม่ปลอดภัย ปัญหา “เชิงโครงสร้าง” ที่ซุกอยู่ในเครื่องเล่น

จากเหตุการณ์เศร้าสะเทือนใจในโรงเรียนแห่งหนึ่ง หลังเกิดอุบัติเหตุเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่เครื่องเล่นรถไฟโยก 3 ที่นั่งชนเด็กนักเรียนจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในที่สุด อุทาหรณ์จากเหตุการณ์น่าเศร้านี้ ได้ปลุกจิตสำนึกให้ทุกฝ่ายต่างหันมาตระหนักถึงการสร้างความปลอดภัยในพื้นที่เล่นของเด็กอีกครั้ง

วันที่ 6 สิงหาคม 2568 เชษฐา มั่นคง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และให้ความเห็นว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนี้เป็นภาพสะท้อนของปัญหา “เชิงโครงสร้าง” ที่ซ่อนอยู่ในสนามเด็กเล่นของสถานศึกษาทั่วประเทศ หากผู้ใหญ่ยังคงมองว่าการเล่นเป็นเพียงกิจกรรมยามว่าง ปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่และนำไปสู่อุบัติเหตุซ้ำซากในอนาคต

เชษฐา ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างหลัก ๆ ที่ทำให้สนามเด็กเล่นในโรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กยังคงเป็นพื้นที่อันตราย โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การขาดการตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์เครื่องเล่นอย่างสม่ำเสมอ แม้โรงเรียนและศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยส่วนใหญ่จะมีเครื่องเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่าครูผู้ดูแลมักไม่มีเวลาตรวจสอบอุปกรณ์ หรือจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ การละเลยเหล่านี้ทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพ ผุพัง และเป็นอันตราย

นอกจากนี้ ปัญหาข้อจำกัดด้านบุคลากรยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ครูในโรงเรียนหลายแห่งมีภาระงานสูงจนไม่มีเวลาเพียงพอในการดูแลสนามเด็กเล่นอย่างใกล้ชิด ทั้งยังขาดความตระหนักจากทั้งผู้บริหารและครูในเรื่องความสำคัญของความปลอดภัยในพื้นที่เล่น

เชษฐา กล่าวต่อว่า บางประเทศได้จัดให้มีบทบาทของผู้อำนวยการเล่น หรือ Playworker เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงและดูแลให้เด็กสามารถเล่นได้อย่างปลอดภัย แต่ในประเทศไทยยังขาดบทบาทสำคัญนี้โดยสิ้นเชิง สำหรับปัญหาด้านมาตรฐานและคุณภาพของเครื่องเล่นที่อาจไม่มีมาตรฐาน และปัญหาการติดตั้งที่ไม่เหมาะสม เช่น การวางเครื่องเล่นใกล้วัตถุแข็งหรือผนัง หรือการใช้วัสดุปูพื้นสนามที่ไม่สามารถรองรับแรงกระแทกเมื่อเด็กหกล้ม

ขณะเดียวกัน การกำกับดูแลจากภาครัฐยังไม่เข้มงวดเท่าที่ควร กระทรวงศึกษาธิการควรมีมาตรการชัดเจนในการสั่งให้โรงเรียนทุกแห่งตรวจสอบเครื่องเล่นเป็นประจำ และรายงานผลการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กๆ ในอนาคต

Quote Image
การเล่นไม่ใช่แค่กิจกรรมการฆ่าเวลา แต่เป็นสิทธิพื้นฐานและความสุขที่เด็กทุกคนควรได้รับ การเล่นคือกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะชีวิต และพัฒนาศักยภาพในทุก ๆ ด้าน

อีกทั้ง ยังมีความเห็นว่า ประเทศไทยควรเปิดกว้างกับการเล่นอย่างอิสระ คือการปล่อยให้เด็กได้ เล่นตามธรรมชาติและเล่นกับสิ่งของรอบตัวที่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่สนามเด็กเล่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุจากธรรมชาติ เช่น ทราย น้ำ ดิน หรือ โต๊ะ เก้าอี้ ของรีไซเคิล การเล่นรูปแบบนี้ช่วยให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด เรียนรู้จากการลงมือทำ และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านการประยุกต์สิ่งของธรรมดาให้กลายเป็นของเล่นได้

การเล่นอิสระยังส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในทุกมิติ ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา หรือการเล่นร่วมกับผู้อื่นช่วยให้เด็กเรียนรู้กติกาและมีวินัย การปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระจึงไม่ใช่แค่กิจกรรมยามว่าง แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญของเด็ก

“ผมมีโอกาสได้ลงพื้นที่ที่ศูนย์อพยพในจังหวัดศรีสะเกษ และได้นำเลโก้ชุดเล็กไปมอบให้เด็กเล่น พบว่าเด็ก ๆ สามารถจินตนาการและต่อเลโก้เป็นรูปเรือ รูปธงชาติ และเครื่องบินบนเรือได้อย่างสวยงามด้วยจินตนาการของตนเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการเล่นอิสระ ช่วยให้เด็กมีจินตนาการและสมาธิกับสิ่งที่ทำ”

เชษฐากล่าวต่อว่า นอกจากสถานศึกษาแล้ว ผู้ปกครองเองก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นที่เรียนรู้ และส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกได้ ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและส่งเสริมจินตนาการของเด็กได้ โดยเริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ เช่น การจัดมุมให้เด็กได้มีพื้นที่ส่วนตัวในการเล่นอย่างอิสระ รวมถึงการใช้ของรอบมาเป็นสื่อสร้างสรรค์ และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับธรรมชาติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการจำกัดจินตนาการด้วยคำสั่งหรือข้อห้ามมากเกินไป ปล่อยให้เด็กได้คิด สร้าง และทดลองในแบบของตนเอง

“การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยให้เด็กได้เล่นอย่างมีความสุขและปลอดภัย แต่ยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการรอบด้าน และยังช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจลูกมากขึ้น รวมถึงลดการใช้มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในเด็กได้ด้วย” เชษฐากล่าวทิ้งท้าย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง