Getting your Trinity Audio player ready... |

ค่าไฟฟ้าในไทยพุ่งสูงจากโครงสร้างต้นทุนบิดเบือนและสัญญารับซื้อแพงกว่าตลาดโลก เป็นเหตุให้ ค่าไฟแพงเกินจริง แม้แนวโน้มพลังงานหมุนเวียนถูกลง แต่ประชาชนยังต้องแบกภาระหนัก สภาผู้บริโภคจี้รัฐเปิดประมูลแข่งขัน ปรับสัญญาเอื้อทุน และให้สิทธิเน็ตมิเตอร์ริง เพื่อสร้างค่าไฟที่เป็นธรรมต่อทุกครัวเรือน
ไฟฟ้าไม่ใช่แค่สินค้าที่เราซื้อใช้ทั่วไป แต่เป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่ทุกบ้านต้องพึ่งพา แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่าไฟของไทยกลับกลายเป็นประเด็นร้อนแรง เมื่อประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าจ่ายแพงเกินจริง สภาผู้บริโภคเปิดข้อมูลยืนยันว่าไทยรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในราคาสูงกว่าหลายประเทศ และอาจผลักภาระต้นทุนส่วนเกินมหาศาลนี้ไปยังผู้บริโภคในระยะยาว ถึงเวลาที่รัฐต้องทบทวนกระบวนการจัดซื้อให้โปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
โครงสร้างค่าไฟฟ้าไม่เป็นธรรม ต้นเหตุ ‘ค่าไฟแพงเกินจริง‘
ปัจจุบัน ค่าไฟที่เราจ่ายทุกเดือน มาจากประกอบหลัก ๆ ดังนี้
- ค่าการผลิตไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด มีต้นทุนมาจากค่าเชื้อเพลิง (เช่น ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน พลังงานหมุนเวียน และต้นทุนโรงไฟฟ้า เช่น ค่าก่อสร้างและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ค่าเดินระบบและค่าขนส่งไฟฟ้า
- ค่าจัดส่ง (Transmission Charge) ค่าใช้จ่ายในการขนส่งไฟฟ้าจากแหล่งผลิตไปยังพื้นที่ต่าง ๆ
- ค่าจัดจำหน่าย (Distribution Charge) ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งไฟฟ้าจากสายส่งถึงผู้ใช้ไฟฟ้าแต่ละบ้าน
- ค่าไฟฟ้าผันแปร หรือ Ft (Fuel Adjustment Charge) ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงเป็นงวด ๆ

ผศ.ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ได้ชี้ให้เห็นว่าสูตรในการคำนวณค่าไฟฟ้าของไทยมีความผิดปกติ มีโครงสร้างต้นทุนบางส่วนที่สูงกว่าความเป็นจริง เช่น การจัดหาก๊าซธรรมชาติและการคิดค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ที่มีการกำหนดเงื่อนไขให้ปรับราคาเพิ่มตามราคาก๊าซ ซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะเป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้ แม้จะมีการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก ไทยยังพึ่งพาการรับซื้อจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) และขนาดเล็ก (SPP) ของภาคเอกชน ในสัดส่วนที่สูง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าไฟแพง ที่สำคัญมีการผูกสัญญาซื้อไฟฟ้าราคาสูงกับเอกชนในระยะยาว ทำให้ต้นทุนถูกล็อกไว้ แม้แนวโน้มทั่วโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และลม ที่มีต้นทุนถูกลง
อย่างไรก็ตาม สภาผู้บริโภค พบว่า ความฝันที่คนไทยจะได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูกจากแดดและลมอาจไม่เป็นจริง ทั้งนี้เพราะโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ มีการกำหนดราคารับซื้อพลังงานหมุนเวียนจากเอกชนสูงกว่าทั่วโลก และสูงกว่าราคาที่ควรจะเป็นเกือบสองเท่า ทำให้ประชาชนยังต้องแบกภาระค่าไฟฟ้าที่เกินจริง แม้มีการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่พลังงานหมุนเวียนแล้วก็ตาม
จับตารับซื้อพลังงานหมุนเวียนเอื้อเอกชน
ก่อนหน้านี้ ในปี 2565 รัฐได้เปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบแรก จำนวน 5,208 เมกะวัตต์ ในราคาสูงกว่าตลาดโลกอย่างขัดเจนที่ 2.17 บาทต่อหน่วย ขณะที่ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 1.77 บาทต่อหน่วย บราซิลราคารับซื้ออยู่ที่ 1.31 บาทต่อหน่วย แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างกัมพูชา ปี 2567 รับซื้อที่ 1.32 บาทต่อหน่วย ปี 2568 ลดลงเหลือ 0.90 บาทต่อหน่วย ล่าสุด โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม จำนวน 2,145.4 เมกะวัตต์ ยังคงล็อกราคาไว้ที่ 2.17 บาทต่อหน่วย และเป็นระยะเวลานานถึง 25 ปี และที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือได้มีการกำหนดเงื่อนไขกีดกันรัฐวิสาหกิจอย่างกฟผ. ที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนที่ถูกกว่า เช่น การดำเนินโครงการโซลาร์ลอยน้ำที่เขื่อนสิรินธร ในปี 2564 มีต้นทุนไฟฟ้าอยู่ที่ 1.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าหากกฟผ.เป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียน ประชาชนจะได้ประโยชน์สูงสุด
แม้มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) จะให้ชะลอโครงการนี้ไป แต่ต้องจับตาดูต่อไป เพราะก่อนหน้านี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2568 ว่าสาเหตุหลักที่รัฐบาลไม่สามารถยกเลิกโครงการได้เพราะ ข้อจำกัดทางกฎหมาย ที่โครงการรอบแรกที่รัฐทำสัญญารับซื้อไปแล้ว เมื่อต้นปี 2565 จำนวน 5,208 เมกะวัตต์ ได้ลงนามทำสัญญากับเอกชนไปแล้ว และบางส่วนเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จะทำให้เกิดสองมาตรฐาน

รสนา โตสิตระกูล กรรมการนโยบาย และผู้เชี่ยวชาญด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค ได้ออกมาตั้งคำถามเรื่องความไม่เป็นธรรมและไม่โปร่งใสของโครงการนี้ เนื่องจากการกำหนดราคารับซื้อที่ 2.17 บาทต่อหน่วย เป็นราคาที่แพงเกินไป สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาดโลกที่ราว 1.77 บาทต่อหน่วย และสูงกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ระบบประมูลแข่งขัน จึงมีคำถามว่า ทำไมไม่ใช้วิธีประมูลเปิดกว้างเพื่อลดต้นทุน การเอื้อประโยชน์ต่อทุนพลังงานที่สนับสนุนการเมืองแล้วมาล้วงกระเป๋าประชาชนใช่หรือไม่ การทำสัญญารับซื้อยาว 25 ปีในราคาสูง จะเป็นการผลักภาระให้ประชาชนหรือไม่
“ที่สำคัญ รัฐควรส่งเสริมเน็ต มิเตอร์ริง (Net Metering) ระบบที่ทำให้ประชาชนที่ติดโซลาร์ที่สามารถไฟส่วนเกินที่ผลิตได้มากในตอนกลางวันกลับเข้าไปที่การไฟฟ้า และสามารถดึงไฟกลับมาไว้ใช้กลางคืนได้ทันที โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟช่วงกลางคืนที่ไม่มีแสงแดดอย่างเช่นปัจจุบัน ก็จะทำให้ประชาชนลดค่าไฟได้จริงและเพิ่มการพึ่งพาตนเองได้”
ค่าไฟที่เป็นธรรมควรเป็นอย่างไร
ค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรม ควรเป็นค่าไฟฟ้าที่เกิดจากต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล หรือเมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้เสนอแนะแนวทางที่จะทำให้เกิดค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมต่อประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อเสนอโดยสรุปเป็นดังนี้
- ใช้การประมูลแข่งขัน (Competitive Bidding) สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน
- ทบทวนราคาและสัญญายาว 25 ปี ที่กำหนดไว้ในโครงการพลังงานหมุนเวียนให้สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบัน
- เปิดให้ประชาชนใช้ระบบเน็ต มิเตอร์ริง ให้ครัวเรือนที่ติดตั้งระบบโซล่าร์ โดยสามารถฝากไฟส่วนเกินกลับมาใช้ได้
- ปรับโครงสร้างต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าผ่านท่อ ให้เป็นธรรมและโปร่งใส
- เพิ่มบทบาทการคุ้มครองผู้บริโภค ในการกำหนดนโยบายพลังงาน
แม้พลังงานหมุนเวียนจะเป็นทิศทางที่ถูกต้องเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าราคาซื้อไฟฟ้าสูงกว่าตลาด และไม่เปิดการแข่งขัน ก็เท่ากับผลักภาระไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าทุกครัวเรือน สภาผู้บริโภคชี้ว่า นโยบายที่เอื้อทุนรายใหญ่โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม เช่น ปิดกั้นเน็ต มิเตอร์ริง หรือจำกัดสิทธิขายไฟของครัวเรือน จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในพลังงานรุนแรงขึ้น
ปัญหาค่าไฟแพงของไทยไม่ใช่เรื่องโชคชะตาหรือปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวพันโดยตรงกับโครงสร้างนโยบายและกระบวนการจัดซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ หากเปิดการแข่งขันอย่างโปร่งใสและให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น ไทยก็มีโอกาสลดต้นทุนและสร้างระบบพลังงานที่ทั้งสะอาดและเป็นธรรมต่อทุกคน