Ribbon

18 พ.ย. ลุ้นศาลฯ ชี้ ‘เก็บค่าบำรุงการศึกษา’ กระทบสิทธิเรียนฟรี

18 พ.ย. ลุ้นศาลฯ ชี้ ‘เก็บค่าบำรุงการศึกษา’ กระทบสิทธิเรียนฟรี

ในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ สภาผู้บริโภคชวนให้ผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บ ค่าบำรุงการศึกษา ร่วมติดตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่สภาผู้บริโภคฟ้องร้องต่อกระทรวงศึกษาธิการ (สธ.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้หยุดการกระทำที่เอาเปรียบผู้บริโภคจากการเรียกเก็บ ค่าบำรุงการศึกษา ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และขัดแย้งนโยบายเรียนฟรีของรัฐบาล

จากศาลปกครองกลางสู่ศาลปกครองสูงสุด

การต่อสู้ทางกฎหมายที่ใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 67 สภาผู้บริโภคพร้อมด้วยอนุกรรมการด้านการศึกษา ทนายความ และผู้เสียหาย ได้ร่วมกันฟ้องร้องกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อขอให้ยุติการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบจากการเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขัดแย้งกับหลักการ “เรียนฟรี” ที่รัฐประกาศไว้ และส่งผลให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยต้องแบกรับภาระเกินกำลัง อีกทั้งยังเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับการศึกษาฟรีตามรัฐธรรมนูญ

แม้ในการยื่นฟ้องครั้งแรก ศาลปกครองกลางจะปฏิเสธคำฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ยื่นฟ้องเกินกำหนดระยะเวลา แต่ทนายความได้ยื่นขอขยายเวลาอุทธรณ์ถึงสองครั้ง และในที่สุด ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งรับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 และล่าสุดวันที่ 18 พฤศจิกายน 68 ศาลปกครองสูงสุดมีนัดฟังคำสั่งศาล กรณีการถูกเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ภาระที่ซ่อนเร้น และผลกระทบต่อความเหลื่อมล้ำ

การเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาได้สร้างภาระทางการเงินอย่างมากให้กับผู้ปกครอง จากผลสำรวจของสภาผู้บริโภค เมื่อวันที่ 16 ก.ค. – 30 ก.ย. 2568 ในกลุ่มผู้ปกครองและนักเรียน พบว่าแม้จะมีนโยบายเรียนฟรี แต่โรงเรียนจำนวนมาก โดยเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน ยังคงมีการเรียกเก็บค่าเทอมหรือค่าบำรุงการศึกษา ซึ่งมีช่วงราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่ต่ำกว่า 1,000 บาท ไปจนถึงมากกว่า 12,000 บาทต่อเทอม

ภาระไม่ได้จำกัดอยู่แค่ค่าบำรุงการศึกษาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตอกย้ำถึงความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ

สำหรับค่าใช้จ่ายในด้านการเรียนโดยตรง อย่างหนังสือและอุปกรณ์เรียน เป็นภาระที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละโรงเรียน โดยนักเรียนเกือบครึ่งใช้จ่ายไม่เกิน 1,000 บาทต่อเทอม แต่ในโรงเรียนที่ไม่มีการสนับสนุนวัสดุจากรัฐ บางส่วนต้องจ่ายสูงถึงมากกว่า 3,000 บาท นอกจากนี้ ชุดนักเรียนก็เป็นภาระที่ไม่เคยหายไป โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งต้องจ่าย 1,000–3,000 บาทต่อเทอม โดยเฉพาะชุดลูกเสือ-เนตรนารี หรือยุวกาชาด ซึ่งถูกมองว่าจำเป็นน้อย แต่แพงมาก และเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

ขณะนี้ค่าใช้จ่ายพื้นฐานและค่าใช้จ่ายในยุคดิจิทัล รวมถึงค่าอาหารและขนม ก็เป็นภาระพื้นฐานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยนักเรียนกว่า 45% ใช้จ่ายระหว่าง 200 – 600 บาทต่อสัปดาห์ ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคการเรียนรู้ดิจิทัล อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นปัจจัยพื้นฐานอย่างแท้จริง โดยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่า 75% มีค่าอินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 500–1,000 บาทต่อเดือน เพื่อให้บุตรหลานสามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม และสุดท้าย ค่าเดินทาง ก็เป็นอีกตัวสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางพื้นที่ เนื่องจากเกือบหนึ่งในสี่ของนักเรียนต้องจ่ายมากกว่า 1,000 บาทต่อเดือน เพื่อเข้าถึงโรงเรียนที่มีคุณภาพซึ่งมักอยู่ไกลบ้าน

เด็กหลุดจากระบบการศึกษาเพราะค่าใช้จ่ายแฝง

ปัญหาค่าใช้จ่ายแฝงและค่าบำรุงการศึกษานี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เด็กจำนวนไม่น้อยต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาก่อนวัยอันควร

ข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ชี้ว่า ในปี 2566 มีเด็กและเยาวชนไทยที่หลุดออกนอกระบบการศึกษา หรือไม่มีข้อมูลในระบบสะสมสูงถึงกว่า 1.02 ล้านคน โดยสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเหล่านี้ต้องออกจากโรงเรียนคือความยากจน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 46.7% ของกรณีศึกษาทั้งหมด

การตัดสินใจระหว่างการส่งลูกไปโรงเรียนกับการนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ เป็นทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับครอบครัวที่ยากจน เมื่อผู้ปกครองไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายแฝงที่สูงขึ้นได้ เด็ก ๆ จึงต้องออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หรือบางครอบครัวต้องกู้ยืมเงินเพื่อจ่ายค่าเรียน สิ่งนี้ตอกย้ำ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา การฟ้องร้องคดีนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ เพื่อประกันสิทธิและโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมให้กับเด็กทุกคนในประเทศ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง