Ribbon

“บัตรทอง” ไม่ล่ม ย้ำสิทธิรักษาฟรี ห้ามเก็บเงินผู้บริโภค

Getting your Trinity Audio player ready...
"บัตรทอง" ไม่ล่ม ย้ำสิทธิรักษาฟรี ห้ามเก็บเงินผู้บริโภค

กรณีสิทธิบัตรทองเกี่ยวกับการบริหารงบประมาณและการจ่ายเงินชดเชยค่ารักษาพยาบาลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล่าช้าและไม่เป็นไปตามข้อตกลง ส่งผลให้โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขประสบปัญหาการเงิน และสร้างความกังวลต่อประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทอง รวมถึงความเชื่อมั่นในกองทุนที่เสี่ยงถูกมองว่าล้มเหลว กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพออกมายืนยันถึงความจำเป็นของระบบหลักประกันสุขภาพ หรือบัตรทอง ที่ให้สิทธิในการเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้บริการกว่า 48 ล้านคน

ยืนยันสิทธิตามกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องกำไร-ขาดทุน

นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สัดส่วนภาคประชาชน ยืนยันอย่างชัดเจนว่า “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่สามารถล่มได้” เพราะนี่คือสิทธิด้านสุขภาพที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งกำหนดให้คนไทยทุกคนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากรัฐ และเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดให้มีระบบบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

นิมิตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ได้เป็นเพียงนโยบายของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เป็น “สมบัติของประชาชน” และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพที่ทุกคนพึงได้รับอย่างเท่าเทียม จึงไม่มีใครมีอำนาจที่จะมาทำให้ระบบนี้ล้มลงได้ เพราะมันคือเครื่องมือสำคัญที่คุ้มครองชีวิตและสุขภาพของคนไทยทั้งประเทศ

นอกจากนี้ ยังพบกรณีประชาชนได้รับผลกระทบ และร้องเรียนว่า ถูกเรียกเก็บเงินจากหน่วยบริการขณะเข้ารับการใช้บริการตามสิทธิบัตรทอง แต่ต้องถูกเรียกเก็บเงิน เพราะหน่วยบริการอ้างว่า สปสช. ไม่จ่ายเงินนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากตามหลักเกณฑ์ของสิทธิประโยชน์ ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองไม่ต้องร่วมจ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น

“ข้อเสนอให้ประชาชนร่วมจ่ายค่ารักษา ถือเป็นการทำลายเจตนารมณ์ของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าอย่างสิ้นเชิง เพราะระบบนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาคนที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาล ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม” นิมิตร์กล่าว

พร้อมกันนี้ นิมิตร์ยังชี้แจงถึงสถานการณ์ทางการเงินของหน่วยบริการว่า โรงพยาบาลได้รับงบประมาณตามระบบปกติแล้ว โดยงบ “เหมาจ่ายรายหัว” สำหรับผู้ป่วยนอก ได้รับจ่ายงวดแรกไปแล้ว 50% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และจะได้รับงวดถัดไปอีก 45% ภายในไตรมาสที่ 2 รวมเป็น 95% ของงบทั้งหมด

ในส่วนของ ค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติ ไม่ว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยมากหรือน้อยก็ตาม อีกทั้งระบบยังมีการจ่ายเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรอยู่ทำงานในพื้นที่ชนบทต่อไป รวมถึงโรงพยาบาลยังได้รับงบประมาณในส่วนอื่น ๆ อีก เช่น งบค่าเสื่อม สำหรับซื้อเครื่องมือแพทย์ ซ่อมแซมอาคาร หรือปรับปรุงอุปกรณ์ต่าง ๆ งบสำหรับค่าใช้จ่ายสูง สำหรับยาราคาแพงและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ยามะเร็ง หรืออุปกรณ์หัวใจ โดยกันงบส่วนนี้ไว้ส่วนกลางปีละราว 14,000–15,000 ล้านบาท เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและป้องกันไม่ให้หน่วยบริการปฏิเสธการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง และ การตั้งกองทุนเฉพาะกิจ เช่น ไตเทียม และ เอชไอวี (HIV) เป็นการตั้งงบประมาณแยกต่างหาก และ ไม่ได้ทำให้งบเหมาจ่ายรายหัวของโรงพยาบาลลดลง แต่เป็นการบริหารความเสี่ยงและหลักประกันว่าประชาชนจะได้รับการดูแลเมื่อเจอโรคสำคัญ

อย่างไรก็ตาม นิมิตร์ ยืนยันว่า ประชาชนสามารถใช้สิทธิได้ตามเดิม และไม่มีการร่วมจ่าย หากถูกเรียกเก็บสามารถ โทรร้องเรียนได้ที่ สปสช. 1330 หรือติดต่อศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองทั่วประเทศ ดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.nhso.go.th/th/13-2

“บริการสาธารณสุข ถือเป็นบริการสาธารณะ ที่รัฐต้องจัดให้ประชาชนได้รับอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ดังนั้น บริการด้านสุขภาพ ไม่ควรถูกมองในมุมของกำไรหรือขาดทุน แต่ควรยึดเจตนารมณ์ของรัฐ คือการดูแลประชาชนเป็นหัวใจหลัก พร้อมกันนี้ รัฐควรสื่อสารให้ผู้บริหารโรงพยาบาลทุกระดับตระหนักว่า การให้บริการสุขภาพนั้น คือการทำเพื่อ ประโยชน์สาธารณะของคนทั้งประเทศ”

เปิดข้อมูล โรงพยาบาลส่วนใหญ่ไม่ขาดทุน

ด้าน รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ศิริสินสุข อดีตรองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ งบขาขึ้น ซึ่งหมายถึงการคำนวณต้นทุนที่จำเป็นต้องใช้จริง และ งบขาลง คือการจัดสรรเงินให้กับหน่วยบริการ ซึ่ง สปสช.อยู่ระหว่างพยายามทำให้ทั้งสองส่วนสอดคล้องกัน เพื่อให้การบริหารงบประมาณมีความถูกต้องและเป็นธรรม

ทั้งนี้ การหารือเรื่องงบประมาณจำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลข้อเท็จจริง โดยเฉพาะข้อมูลต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของหน่วยบริการ หากหน่วยบริการมองว่าเงินไม่เพียงพอ ควรมีข้อมูลที่ชัดเจนมาใช้ประกอบการพูดคุย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบว่า ข้อมูลต้นทุนดังกล่าวยังถูกเก็บเป็นความลับของหน่วยบริการ ทำให้มีโรงพยาบาลที่ให้ความร่วมมือกับ สปสช. ในการจัดทำข้อมูลต้นทุนจริงไม่ถึง 10 แห่ง

สำหรับสถานการณ์ทางการเงินของโรงพยาบาล ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่า จากโรงพยาบาลทั้งหมด 902 แห่ง มีเพียง 58 แห่งที่ขาดสภาพคล่อง ขณะที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ 844 แห่ง มีเงินบริหารจัดการคงเหลือรวมประมาณ 38,249 ล้านบาท นี่คือเงินที่สามารถใช้มาหมุนส่วนในที่ขาดทุนได้ เนื่องจากส่วนยอดขาดทุนรวมของโรงพยาบาลที่ติดลบอยู่ที่ 2,293 ล้านบาท พร้อมได้ยกตัวอย่างแนวคิด การช่วยเหลือเกื้อกูลกันภายในพื้นที่ เช่น โรงพยาบาลที่มีงบเหลืออาจช่วยสนับสนุนโรงพยาบาลที่ประสบปัญหาทางการเงิน เพื่อให้ประชาชนทุกพื้นที่ได้รับบริการที่เท่าเทียม พร้อมย้ำว่า “เงินทุกบาทในระบบ รวมถึงเงินบำรุงของโรงพยาบาล ล้วนมาจากภาษีของประชาชน” จึงต้องบริหารจัดการอย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุด

นอกจากนี้ รศ.ดร.ภญ.ยุพดี ยังยืนยันว่า ไม่ควรมีการให้ประชาชนร่วมจ่ายค่าบริการสุขภาพในทุกกรณี เนื่องจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ถูกคำนวณรวมอยู่ในงบประมาณแล้ว หน่วยบริการจึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บเงินจากประชาชน หากผู้ป่วยเข้ารับบริการนอกเวลาทำการ เช่น กลางคืน แล้วถูกปฏิเสธหรือถูกเรียกเก็บเงินโดยอ้างว่าไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน ถือเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เพราะระบบได้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายดังกล่าวไว้แล้ว

“ขอฝากประชาชนอย่าหวั่นไหวกับสิ่งที่กำลังพูดกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะบัตรทองคือเสาหลักที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพ อย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาทำให้เราเกิดความหวั่นไหวต่อระบบนี้ อย่างไรก็ตามเราต้องทำงานร่วมกัน และคุยกันด้วยข้อเท็จจริง” รศ.ดร.ภญ.ยุพดี กล่าว

ระบบที่ช่วยป้องกันการล้มละลาย

ธนพลธ์ ดอกแก้ว นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของสิทธิผู้ป่วยโรคเรื้อรังและโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง พร้อมสะท้อนข้อกังวลต่อปัญหาด้านการเงินและการบริหารจัดการของระบบว่า แม้งบประมาณจะมีจำกัด แต่ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นหลักประกันชีวิต ของคนไทยกว่า 48 ล้านคน ที่ทำให้เข้าถึงบริการสุขภาพอย่างทั่วถึง ตั้งแต่การรักษา การได้รับยา การส่งเสริมสุขภาพ ไปจนถึงการส่งต่อบริการที่จำเป็น

“ตนเองเป็นผู้ป่วยโรคไตที่ใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี ซึ่งหากต้องจ่ายค่ารักษาเอง คงมีค่าใช้จ่ายสะสมมหาศาล แต่ด้วยระบบนี้ทำให้ยังสามารถเข้าถึงการรักษาได้โดยไม่ล้มละลาย พร้อมยกตัวอย่างผู้ป่วยกลุ่มอื่น เช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่ต่างได้รับโอกาสในการรักษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน” ธนพลธ์ กล่าว

สำหรับกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องกองทุนขาดทุน ซึ่งสร้างความกังวลให้ประชาชนว่าระบบจะล่ม หรือจะมีการให้ร่วมจ่ายในอนาคต ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำ เพราะคนรายได้น้อยอาจหลีกเลี่ยงการไปรับการรักษา จนกว่าจะมีอาการหนัก ทำให้ทั้งสุขภาพและค่าใช้จ่ายในระบบยิ่งแย่ลง

ธนพลธ์ ย้ำว่า ประเด็นเรื่องขาดทุนหรือกำไร ควรพูดกันด้วย “ข้อมูลและข้อเท็จจริง” ไม่ใช่เพียงความรู้สึก เพราะระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่ได้เป็นเพียงนโยบายสาธารณสุข แต่คือ “สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน” ที่รัฐต้องคุ้มครองอย่างมั่นคง พร้อมทิ้งท้ายว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่ตัวเลขงบประมาณ แต่คือคำตอบว่า เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างถ้วนหน้า และไม่ต้องล้มละลายเพราะค่ารักษาพยาบาล

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง