หยุด รุนแรง ล่วงละเมิด 6 ข้อเสนอต่อ ศธ. สร้าง “พื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน”

หยุด รุนแรง ล่วงละเมิด 6 ข้อเสนอต่อ ศธ. สร้าง “พื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน”

จากกรณีที่มีข่าวปัญหาความรุนแรงในสถานการศึกษา ซึ่งรวมถึงการล่าวละเมิดทางเพศ การกลั่นแกล้ง ปัญหาสุขภาพจิต สร้างความวิตกกังวลให้สาธารณะชนว่าพื้นที่การศึกษาอาจไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเยาวชนในครอบครัว สภาผู้บริโภคตระหนักถึงสิทธิของผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาที่ต้องได้รับความคุ้มครองทั้งร่างกายและจิตใจในสถานศึกษาจึงได้เข้าพบ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ในวันที่ 2 กันยายน เพื่อยื่นข้อเสนอนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคต่อประเด็น ความปลอดภัย และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน 6 ประเด็นโดยมี ดร.วันเพ็ญ บุรีสูงเนิน ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้แทนรับข้อเสนอ

อรรถพล  อนันตวรสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่เกิดปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นแรงผลักดันให้สภาผู้บริโภคสำรวจสถานการณ์และรวบรวมข้อมูลจากเยาวชน ผู้ปกครอง และครู จนได้ข้อเสนอที่ต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปแก้ไขใช้เป็นแนวทางประกอบการกำหนดนโยบายระดับชาติ ตลอดจนการพัฒนากลไกเชิงปฏิบัติในสถานศึกษาทั่วประเทศ

สภาผู้บริโภคจึงขอยื่นหนังสือข้อเสนอสำคัญทั้ง 6 ประเด็น สร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน

  • สร้างระบบดูแลสุขภาพจิตที่เข้าถึงง่าย: จัดสรรทรัพยากรด้านสุขภาพจิตให้เพียงพอ ทั้งสำหรับนักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงฝึกอบรมครูให้มีทักษะการรับฟังและดูแลนักเรียนเชิงลึก พร้อมสร้างระบบติดตามผู้ที่เผชิญปัญหาความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
  • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ปลอดภัย: กำหนดมาตรฐานห้องน้ำที่มิดชิดเพื่อป้องกันการล่วงละเมิด พร้อมคุมเข้มการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและสิ่งเสพติด รวมถึงการดูแลความปลอดภัยจากบุคคลภายนอก
  • แก้ปัญหาไซเบอร์บูลลี่อย่างเป็นระบบ: บรรจุเนื้อหาเรื่องไซเบอร์บูลลี่และสิทธิในโลกออนไลน์ในหลักสูตรตั้งแต่ระดับประถม และจัดอบรมครูให้มีความรู้ความเข้าใจในประเด็นนี้
  • คุ้มครองสิทธิเด็กและสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย: จัดตั้งช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ พร้อมเปิดโอกาสให้นักเรียนและสภานักเรียนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและสื่อสารปัญหา
  • ส่งเสริมบทบาทครอบครัวในการดูแลสุขภาพจิต: จัดอบรมให้ความรู้ผู้ปกครองเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าและปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้ครอบครัวเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับบุตรหลาน
  • พัฒนาการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษาและการคุกคามทางเพศ: อบรมครูและนักเรียนในเรื่องเพศศึกษาที่ครอบคลุมสิทธิในร่างกายและความหลากหลายทางเพศ พร้อมจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาและระบบติดตามผลในโรงเรียน

ขณะที่ ดร.วันเพ็ญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ชี้แจงว่า ข้อเสนอนโยบายและมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่เสนอในวันนี้ กระทรวงศึกษาธิการจะนำไปใช้เป็นแนวทางประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดนโยบายระดับชาติ ตลอดจนการพัฒนากลไกเชิงปฏิบัติในสถานศึกษาทั่วประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นเชิงระบบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสถานศึกษา และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน

โดยที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการมีแนวทางการดำเนินงานที่หลากหลายของหน่วยงานภายใต้สังกัด ได้แก่ สพฐ. อาชีวศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รวมถึงได้พยายามจัดหามาตรการการป้องกันทั้งด้านการสุขภาพกายและการดูแลสุขภาพจิต  ตลอดจนการสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้เรียน นอกจากนี้ ในการประชุมหารือดังกล่าว ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความท้าทายและอุปสรรค ในการดำเนินงาน รวมถึงข้อเสนอแนะให้ครูมีบทบาทมากขึ้นในการดูแลนักเรียน และการทำงานร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีความสุขสำหรับเด็กและเยาวชน

อย่างไรก็ดี  ดร.วันเพ็ญ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีโครงการและแนวทางมากมาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนยังคงมีอยู่ เนื่องจากการดูแลยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ โดยเฉพาะปัญหานอกรั้วโรงเรียนและปัญหาด้านจิตใจที่มีความซับซ้อน อีกทั้งยังมีข้อจำกัดทั้งด้านงบประมาณและบุคลากร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการดำเนินงานของแต่ละองค์กรภายในกระทรวง

ด้าน พรภพ ฉิมพาลี ผู้แทนสภาเด็ก ตัวแทนเสียงสะท้อนจากเด็กและเยาวชน ยอมรับว่า ความรุนแรงในสถานศึกษาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และส่งผลกระทบต่อตนและเพื่อน ๆ เยาวชนพอสมควร ซึ่งอยากให้กระทรวงศึกษาธิการมีมาตรการและแนวทางในการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไข

อรรถพลย้ำว่า การยื่นข้อเสนอครั้งนี้ ไม่ได้โยนภาระการแก้ปัญหาให้กระทรวงศึกษาธิการเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ต้องอาศัยการทำงานระยะยาว อีกทั้งยังมีประเด็นสำคัญเรื่องสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชน ที่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในสังคม และได้รับความสนใจจากหลายหน่วยงานทั้ง สสส. วุฒิสภา และยูเนสโก แต่สิ่งที่ยังขาดคือการขยายผลและทำให้การทำงานเกิดผลอย่างทั่วถึง

“เรารู้ว่าตรงไหนมีเงา นั่นหมายความว่าตรงนั้นก็ต้องมีแสง วันนี้ที่เรามารับฟังร่วมกัน ก็จะได้เห็นถึงความพยายามของกระทรวง ที่พยายามสร้างกลไกในการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เรามีทั้งวิธีการรับมือ และแนวทางการทำงานหลายอย่าง ปัญหายังคงเกิดขึ้น แต่สิ่งนั้นคือความท้าทาย การก่นด่าในความมืดไม่ช่วยอะไร สิ่งสำคัญคือการช่วยกันเปิดไฟ ให้ห้องทั้งห้องสว่าง” อรรถพลกล่าว

นอกจากนี้ ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค กล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้ได้รับเสียงสะท้อนจากกระทรวงศึกษาธิการว่า ภายในกระทรวงเองมีความพยายามในการขับเคลื่อนหลายด้าน ทั้งการสร้างกลไก การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการออกแบบกลไกในระดับจังหวัดและเขตพื้นที่เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างเป็นระบบ การประชุมครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการเชื่อมโยงเสียงจากเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง ไปสู่การทำงานเชิงนโยบายของกระทรวง

โดย กระทรวงฯ มีความเปิดกว้างในการรับฟังเสียงสะท้อนจากภาคส่วนต่าง ๆ และเห็นตรงกับสภาผู้บริโภคในโจทย์สำคัญทั้ง 6 ประการ ซึ่งหลายเรื่องยังคงเป็นช่องว่างที่ต้องอาศัยการร่วมมือกับภาคีเครือข่าย โดยสภาผู้บริโภคพร้อมทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ เปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภค เด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง ได้ส่งเสียงสะท้อน และมองว่าเด็กไม่ได้เป็นเพียงฝ่ายที่รอรับความช่วยเหลือ แต่สามารถเป็นพลังสำคัญที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ในทุกจังหวัด

สำหรับข้อเสนอทั้ง 6 ข้อมีที่มาจากการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงในโรงเรียน โดยมีเด็กและเยาวชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจถูกนำมาจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากเยาวชนในหลายระดับ ทั้งมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย รวมถึงการเปิดรับฟังจากผู้ปกครองและครูด้วย ผลจากการแลกเปลี่ยนและพูดคุยในเวทีเหล่านี้ ได้รับการสังเคราะห์และรวบรวมจนกลายเป็นข้อเสนอ 6 ประการดังกล่าว

สำหรับในปี  2569 คณะทำงานด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ได้กำหนดเป้าหมายในการจัดทำข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาต่อเนื่อง ประกอบด้วย  เด็กทุกคนต้องได้เรียนฟรี 15 ปี และได้เรียนอย่างมีคุณภาพ ทั้งด้านหลักสูตรการเรียนการสอน สภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงสวัสดิการและภาระงานของคุณครู พร้อมทั้งการสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่าย ผู้ปกครอง นักเรียน คุณครู เพื่อร่วมกันผลักดันในโจทย์อื่น ๆ ให้การเรียนฟรีและการเรียนอย่างมีคุณภาพเกิดขึ้นจริง เช่น รถโรงเรียน หรือคดีความค่าบำรุงการศึกษาที่อยู่ในศาลปกครองสูงสุดตอนนี้ ทั้งหมดนี้คือประเด็นที่ต้องอาศัยทุกช่องทาง ทุกภาคส่วนมาช่วยกัน เพื่อทำให้การศึกษาเป็นของทุกคน

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง