ร้องศาลปกครองขอไต่สวนฉุกเฉิน หวั่นประมูลคลื่นผูกขาด

สภาผู้บริโภคยื่นศาลปกครองกลางขอไต่สวนฉุกเฉินอีกครั้ง หวังระงับการประมูลคลื่น 2100 และ 2300 MHz หลังพบมีเพียงทรูและเอไอเอสเข้าร่วมประมูลเพียง 2 ราย เสี่ยงผูกขาดตลาดโทรคมนาคม กระทบความมั่นคงของชาติด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมชวนผู้บริโภคร่วมจับตาใกล้ชิด

หลังจากที่สภาผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางเมื่อ 27 พฤษภาคม 2568 เพื่อขอให้เพิกถอนประกาศของ กสทช. และสำนักงาน กสทช. ซึ่งเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมูลคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz โดยเห็นว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากกระบวนการ ขั้นตอน และเงื่อนไขต่าง ๆ ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมที่แท้จริง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ให้บริการหลักเพียงสองราย โดยไม่มีมาตรการป้องกันการผูกขาด ศาลปกครองกลางรับคำฟ้องไว้พิจารณา แต่ยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) จะจัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ฯ ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้

วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) อ.ดร.วศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า สภาผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเป็นครั้งที่สอง เพื่อขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน และทุเลาการบังคับใช้ประกาศพิพาทของ กสทช. โดยให้เหตุผลว่า ข้อมูลล่าสุดหลังการยื่นฟ้องเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม พบว่ามีผู้ประกอบการเพียงสองรายใหญ่ คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทรู) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) ที่แสดงความจำนงเข้าร่วมประมูล ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่จำกัด และเสี่ยงต่อการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคม

ล่าสุด ในช่วงบ่ายของวันนี้ ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินฯ โดยระบุว่าในไม่มีกรณีเร่งด่วนที่ศาลจะไต่สวนฉุกเฉินตามคำขอ ประกอบกับศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามทำคำชี้แจงต่อศาลซึ่งจะครบกำหนดใน 20 มิถุนายน 2568 นี้ เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวต่อไป

สำหรับกรณีคลื่น 2100 MHz ปัจจุบันบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือเอไอเอส ถือครองคลื่น 15 MHz และมีสัญญาร่วมใช้งานกับบริษัทในเครือ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที (NT) อีก 15 MHz ซึ่งใบอนุญาตของเอ็นที จะสิ้นสุดในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 หากเอ็นทีไม่เข้าร่วมประมูล บริษัทจะไม่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องได้ และส่งผลให้เอไอเอสที่ประมูลคลื่นนี้ต่อเพื่อรักษาคุณภาพบริการ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากมีโครงข่ายรองรับอยู่แล้ว ในขณะที่คลื่น 2300 MHz ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การให้บริการของดีแทค ได้กลายเป็นที่ทรูใช้งานเพียงรายเดียวหลังควบรวมกับดีแทค และยังมีข้อตกลงร่วมกับเอ็นที  ทำให้ทรูต้องประมูลเพื่อคงคุณภาพบริการด้วยเหตุผลเดียวกัน 

ขณะที่ โสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภคให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ดัชนีความกระจุกตัวของตลาด (HHI) ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 4,803 ซึ่งถือว่าสูงมาก สะท้อนถึงการแข่งขันที่ลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้น กสทช. ควรกำหนดให้บริษัทเหล่านี้เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดที่อาจเข้าเกณฑ์ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งหากผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดแล้ว จะต้องถูกกำกับราคาที่ให้บริการตามข้อ 5 ของประกาศ กสทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555 คือ สามารถเก็บค่าบริการในอัตราได้ไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที สำหรับค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่

โสภณ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่คลื่นความถี่สำคัญของประเทศถูกครอบครองโดยเอกชนเพียงสองราย ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้บริโภคขาดทางเลือก ยังส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูล การทำธุรกรรม และการเรียนรู้ล้วนต้องพึ่งพาระบบการสื่อสาร หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ระบบล่มหรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ รัฐอาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันที ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

สภาผู้บริโภคจึงขอให้ผู้บริโภคร่วมติดตามและจับตาการพิจารณาคดีครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมไทยในระยะยาว โดยมีความคาดหวังว่าศาลปกครองจะตระหนักถึงผลกระทบจากการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมเพียงสองราย ในขณะที่หลักเกณฑ์คุ้มครองผู้บริโภคยังไม่เพียงพอต่อการสร้างความเป็นธรรมในตลาด การถือครองคลื่นโดยเอกชนไม่กี่รายอาจกระทบต่อบริการสาธารณะและความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว