
สภาผู้บริโภคเร่งเตือนภัย มิจฉาชีพ หลอกงานออนไลน์ พุ่งสูง ถอดรหัส 4 กลโกงจูงใจให้โอนเงินอย่างรวดเร็ว พร้อมแนะวิธีรับมืออย่างทันท่วงที ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจรุมเร้า มีประชาชนจำนวนมากที่ต้องหางานใหม่หรือรายได้พิเศษ จุดนี้สภาผู้บริโภคพบว่า ได้กลายเป็นจุดอ่อนที่เปิดช่องทางให้มิจฉาชีพสร้างกลโกงใหม่หลัก ๆ อยู่ 4 กลโกงที่มิจฉาชีพใช้ในกา รหลอกงานออนไลน์ มีทั้ง หลอกจ้างงานผ่านกลุ่มไลน์ / เพจปลอม หลอกลงทุนซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม หลอกทำงานรีวิวสินค้า/โฆษณา แอบอ้างสมัครงานผ่านแบรนด์ดัง ที่ผู้บริโภคต้องรับข้อมูลด้วยความระมัดระวังและตรวจสอบก่อนที่ตกหลุมพรางมิจฉาชีพ ซึ่งแนวโน้มนี้สอดรับกับการรายงานของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ต่างย้ำเรื่องภัยออนไลน์ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นลำดับต้น ๆ และมีการหลอกลวงที่มีความซับซ้อนขึ้น รวมถึงมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่กำลังมองหางานหรือรายได้พิเศษ
หากสำรวจความต้องการตำแหน่งงานในประเทศไทย พบว่าอยู่ในระดับสูง โดยจากการรายงานของกรมการจัดหาแรงงาน และสำนักงานสถิติแห่งชาติ กับสถิติภาพรวมไตรมาสแรกประเทศไทยมีผู้มีงานทำ 39.38 ล้านคน และมีผู้ว่างงาน 3.58 แสนคน อัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.9%
“อรมนต์ จันทพันธ์” ผู้อำนวยการสายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ “จิรชาติ สิทธิอารีรักษ์” เจ้าหน้าที่เฉพาะด้านไซเบอร์จาก สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ให้มุมมองสอดคล้องกันต่อภัยทางการเงินที่ต้องเฝ้าระวังในปีนี้จะอยู่ในเรื่องของการหลอกลวงการจ้างงาน และการหลอกลวงในการขายสินค้าเป็นลำดับต้น รวมถึงสภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนออนไลน์จากการหลอกลวงเรื่องจ้างงานในรูปแบบเดียวกัน ซึ่งมิจฉาชีพมักมาในรูปแบบของการชักชวนให้จ่ายเงินก่อนทำธุรกรรม ทั้งการสมัครงานหรือการเลือกซื้อสินค้าที่มีความน่าเชื่อถือ
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันและป้องกันตนเอง โดยสภาผู้บริโภคจึงขอถอดรหัส 4 รูปแบบการหลอกลวงสมัครงานออนไลน์ที่พบบ่อย ซึ่งควรให้ความระมัดระวังและพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเข้าไปลงทุน ประกอบด้วย
1. หลอกจ้างงานผ่านกลุ่มไลน์/เพจปลอม
พฤติการณ์: มิจฉาชีพจะสร้างเพจปลอมแอบอ้างเป็นบริษัทหรือองค์กรดัง และลงโฆษณาเปิดรับสมัครงาน เมื่อมีผู้สนใจสอบถามผ่านเพจสมัครงาน จะชักชวนดึงเข้าสู่กลุ่มไลน์ โดยมี “แอดมิน” และ “สมาชิก” ปลอมที่สร้างบทสนทนาให้ดูน่าเชื่อถือ เพื่อกระตุ้นให้ลงทุน
กลโกง: หลอกให้ลงทุนซื้อสินค้าหรือชมโฆษณา โดยให้ลงทุนครั้งละ 500 – 3,000 บาท พร้อมอ้างว่าจะได้รับกำไรสูงถึง 10 – 20% ช่วงแรกจะมีการโอนกำไรจริงให้ 1 – 2 ครั้ง เพื่อล่อลวงและสร้างความน่าเชื่อถือ หลังจากนั้นจะเริ่มอ้างว่า “ระบบมีปัญหา” หรือแจ้งว่าต้องโอนเงินเพิ่มขึ้นเพื่อให้ครบตามยอดที่กำหนด หรือเพื่อเปิดระบบสินค้า หากผู้บริโภคปฏิเสธไม่โอนเงิน มิจฉาชีพจะมีการข่มขู่ทั้งฟ้องร้องและดำเนินคดีตามกฎหมาย และในที่สุดก็จะเชิดเงินหนีไป
2. หลอกลงทุนซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม
พฤติการณ์: มิจฉาชีพจะอ้างว่าเป็นพาร์ตเนอร์ของแพลตฟอร์มหรือร้านค้าชื่อดังต่างๆ
กลโกง: ชักชวนให้โอนเงินเพื่อซื้อสินค้าทดสอบระบบหรือเพื่อสะสมคะแนน หลังจากโอนเงินแล้ว ผู้เสียหายกลับไม่ได้เงินคืนตามที่ต้องการ หรือถูกขอให้โอนเงินเพิ่มเพื่อ “ปลดล็อกยอด” หรือ “ทำภารกิจ” ต่อไป
3. หลอกทำงานรีวิวสินค้า/โฆษณา
พฤติการณ์: เสนองานที่ดูง่ายและให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง เช่น การกดไลก์ ดูโฆษณา หรือรีวิวสินค้า
กลโกง: กำหนดให้ผู้สมัครวางเงินมัดจำ ค่าลงทะเบียน หรือสำรองเงินไว้ก่อน โดยอ้างว่าจะได้รับค่าตอบแทนสูงเกินจริง แต่เมื่อโอนเงินไปแล้วกลับไม่ได้รับงานหรือเงินคืนตามที่ตกลงไว้
4. แอบอ้างสมัครงานผ่านแบรนด์ดัง
พฤติการณ์: มิจฉาชีพใช้โลโก้ เครื่องหมายการค้า และชื่อบริษัทดังในประกาศรับสมัครงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
กลโกง: เสนอผลตอบแทนที่สูงเกินจริง เช่น “ทำงานวันละไม่กี่ชั่วโมง ได้ค่าจ้างหลักพัน” เมื่อสมัครงานแล้ว จะกำหนดให้วางเงินมัดจำ เงินลงทุน หรือสำรองเงินไว้ก่อนเริ่มงาน แต่เมื่อทำธุรกรรมไปแล้วกลับไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ต้องการ
สำหรับสัญญาณเตือนสำคัญของเพจปลอม หรือ ประกาศหลอกลวงที่ผู้บริโภคควรรู้
- ใช้แบรนด์หรือเครื่องหมายการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือประกาศรับสมัครงานผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์โดยแอบอ้างใช้เครื่องหมายการค้าของแพลตฟอร์มหรือแบรนด์ดังต่างๆ ควรตรวจสอบข้อมูลกับแบรนด์โดยตรงก่อนเสมอ
- งานง่าย แต่ค่าตอบแทนสูงผิดปกติ หรือสูงเกินควร มักมีการโฆษณาชวนเชื่อที่เกินจริง
- ต้องโอนเงินก่อนเริ่มงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินมัดจำ เงินลงทุน ค่าลงทะเบียน หรือค่าสำรองเงิน หากมีการแจ้งให้วางเงินมัดจำ หรือเงินลงทุน หรือสำรองเงินก่อน สามารถสงสัยได้ทันทีว่ากำลังโดนมิจฉาชีพหลอกลวง และ “อย่าโอนเงินไปเด็ดขาด”
- ให้โอนเงินเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา ซึ่งผู้บริโภคควรนำชื่อและหมายเลขบัญชีไปตรวจสอบประวัติมิจฉาชีพก่อน โดยสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ blacklistseller
สิ่งที่ควรทำทันทีเมื่อรู้ตัวว่าถูกฉ้อโกงและมีการโอนเงินไปแล้ว
- การโทรหมายเลข 1231 กด 99 ซึ่งเป็นช่องทางเตือนภัยออนไลน์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินการอายัดบัญชีมิจฉาชีพและไม่ควรปล่อยไว้ข้ามวัน การดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมิจฉาชีพส่วนใหญ่เมื่อมีการหลอกลวงสำเร็จแล้วจะใช้การโอนเงินออกไปต่างประเทศอย่างทันที
- การรวบรวมหลักฐานทั้งหมด เช่น สลิปโอนเงิน ภาพแชทการสนทนา บัญชีเพจปลอม และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- การแจ้งความดำเนินคดี ที่สถานีตำรวจในพื้นที่โดยเร็วที่สุด หรือแจ้งความออนไลน์ได้ ที่นี่ หรือสายด่วนตำรวจไซเบอร์ 1441 หรือแจ้งเบาะแสให้สภาผู้บริโภค หรือหากเจอภัยมิจฉาชีพในรูปแบบนี้ สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1502
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภค ขอให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังและพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้าไปสมัครงานหรือทำธุรกรรม โดยหากพบเพจปลอมหรือเพจที่เข้าข่ายน่าสงสัย สามารถแจ้งเบาะแสมายังสภาผู้บริโภคได้ทันที ทั้งนี้มีความเชื่อมั่นว่าการรู้เท่าทันและป้องกันตนเองคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดจากภัยมิจฉาชีพ และเมื่อประสบภัยต้องเร่งแจ้งข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อทำให้การช่วยเหลือดำเนินการไปได้อย่างทันที
อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนนโยบายของแจ้งเตือนภัยออนไลน์ อยู่ในกรอบนโยบายที่สำคัญของ สภาผู้บริโภค โดยได้วางเป้าหมายในระหว่าง 3 ปี (2568 – 2570) ต้องการลดความเสียหายจากภัยมิจฉาชีพออนไลน์ ที่เกี่ยวข้องกับด้านการเงินธนาคาร ด้านสินค้าและบริการทั่วไปและด้านสื่อสาร โทรคมนาคม โดยมุ่งประเด็นขับเคลื่อนนโยบายคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งการผลักดันในมาตรการหน่วงเงินก่อนโอน หากโอนเงินหรือมีเงินจากปัญชีเกิน 1 หมื่นบาท ธนาคารต้องชะลอ 24 ชั่วโมงก่อนอนุมัติจ่ายปลายทาง เพื่อให้สถาบันการเงินและผู้บริโภคได้มีเวลาตรวจสอบว่าเป็นธุรกรรมทางการเงินที่ถูกต้อง และต้องแจ้งเตือนโดยทันทีที่มีการโอนเงินเกิน 10,000 บาทไปยังผู้บริโภค การผลักดันมาตรการคืนเงินที่รวดเร็ว การมีเครื่องมือแจ้งเตือนเบอร์โทรมิจฉาชีพ การมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การยืนยันตัวตนผู้ขายสินค้าออนไลน์ และการมีตัวกลางชำระเงินในตลาดออนไลน์ เพื่อร่วมทำให้ภัยออนไลน์ลดลงได้มากที่สุด