
แนะลูกค้า ธนาคารกรุงเทพ ที่พบความผิดปกติยอดเงินในแอปพลิเคชัน รีบนำสมุดบัญชีไปตรวจสอบที่สาขา หากยอดหายจริงให้ทำหนังสือแจ้งผลกระทบอย่างเป็นทางการ เพื่อกระตุ้นธนาคารออกมาตรการเยียวยา
เหตุการณ์แอป ธนาคารกรุงเทพ ล่มระหว่างวันที่ 1-2 กันยายนที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้บริโภคที่มีบัญชีกับธนาคารและผูกบัญชีไว้กับแอป พบว่าไม่สามารถทำธุรกรรมในช่วงเวลาดังกล่าวได้ อีกทั้งมีกรณียอดเงินหาย หรือยอดติดลบนั้น นฤมล เมฆบริสุทธิ์ คณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค ได้แนะนำว่า ลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ประสบปัญหาดังกล่าว หรืออาจยังไม่แน่ใจในเรื่องยอดเงินในบัญชีอยู่ให้ครบหรือไม่ ขอให้ดำเนินการเข้าไปตรวจสอบยอดวงเงินในบัญชีด้วยการนำสมุดบัญชีธนาคารไปตรวจสอบที่สาขาของธนาคารกรุงเทพในสาขาที่ใกล้เคียง เพื่อให้สามารถทราบยอดวงเงินได้อย่างแท้จริง
หากพบว่ายอดเงินในบัญชีหายไปควรดำเนินการทำหนังสืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งไปยัง ธนาคารกรุงเทพ รับทราบผลกระทบที่ได้รับจากกรณีนี้ เพื่อให้มีหลักฐานและผลักดันให้มีมาตรการเยียวยาให้แก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้สภาผู้บริโภคพร้อมติดตามในกรณีนี้อย่างใกล้ชิด และหากตรวจสอบพบว่า ธนาคารไม่ได้การดำเนินการเยียวยาให้แก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ คณะอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค มีแผนที่จะเดินหน้าเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาหารือร่วมกันต่อไป
สำหรับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้ธนาคารที่ประสบปัญหาในเรื่องแอปพลิเคชันล่มยาวนานเกิน 8 ชั่วโมง ที่ได้กำหนดเบี้ยปรับสูงสุดที่ 5 แสนบาท หรือประมาณ 5,000 บาทถือว่า วงเงินอยู่ในระดับที่น้อย ดังนั้นหากมีมาตรการใหม่ออกมาดูแลผู้บริโภคในเรื่องนี้ เพื่อทำให้ธนาคารมีการป้องกันในเรื่องการป้องกันภัยจากไซเบอร์ ( ไซเบอร์ ซีเคียวริตี้) ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น ร่วมป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม จากการติดตามปัญหาแอปพลิเคชันธนาคารกรุงเทพที่ล่มในครั้งนี้ มีความแตกต่างจากระบบแอปพลิชันอื่นๆ ที่มีปัญหาล่มในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากลูกค้าบางรายของธนาคารกรุงเทพที่ได้รับผลกระทบระบุว่า ยอดเงินที่อยู่ในแอปพลิเคชันหายไปหรือเมื่อได้รับเงินโอนกลับมา ยอดก็ไม่ครบตามเดิม ซึ่งสภาผู้บริโภคยืนยันว่า ธนาคารต้องเยียวยาแก่ผู้เสียหายเมื่อมีหลักฐานปรากฏชัดว่าเกิดจากเหตุความบกพร่องระหว่างแอปล่ม
ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคได้ตรวจสอบกรณีแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ที่เกิดปัญหาไม่สามารถเข้าใช้บริการได้ในช่วงที่ผ่านมาและพบว่า แต่ละธนาคารมีมาตรการในการเยียวยาผู้บริโภคที่แตกต่างกันไป โดยในช่วงเดือน ก.ย.2565 ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต มีกรณีแอปพลิชัน ttb touch ของ ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต เกิดปัญหาไม่สามารถใช้บริการได้ โดยธนาคารได้แสดงความเสียใจและขออภัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเพื่อดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบหลายด้านทั้ง
1. ลูกค้าที่ไม่มีบัตรเดบิตของธนาคาร สามารถติดต่อเพื่อขอออกบัตรฯ ได้ โดยจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม สำหรับบัตรฯ ที่ออกใหม่
2. ลูกค้าที่ถือบัตรเดบิตของธนาคารอยู่แล้ว จะได้รับการชดเชยเงินค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วน ช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แอป ttb touch ขัดข้อง
3. ลูกค้าที่ทำธุรกรรมโอนเงินรายย่อยข้ามธนาคาร (ORFT) ณ สาขาทีเอ็มบีธนชาตทั่วประเทศ จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมฯ
4. ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากระบบที่ขัดข้อง ทำให้การชำระค่างวดสินเชื่อล่าช้า จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยในช่วงระยะเวลาที่ระบบขัดข้องรวมถึงยังมีมาตรการสำหรับลูกค้าสินเชื่อของสถาบันการเงินอื่น ท่านสามารถแจ้งผ่านช่องทาง ttb contact us คลิก https://ttbbank.com/web-contact เพื่อรับการช่วยเหลือและประสานงานกับทางสถาบันการเงินอื่น ในเรื่องค่าติดตามทวงถามหนี้
ทางด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ได้มีปัญหาในเรื่องแอปพลิเคชัน “SCB EASY” ที่เกิดเหตุขัดข้อง โดยลูกค้าทำรายการโอนเงินแล้วไม่มียอดเงินเข้าไปยังปลาย ในช่วงเดือน ก.ย. 2564 จึงได้มาตรการประกาศในการร่วมคืนเงินให้แก่ลูกค้าทุกคนที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด
ส่วนธนาคารออมสิน ได้มีมาตรการเยียวยาลูกค้าแอป MyMo ล่มในช่วงเดือน พ.ค.2564 ด้วยการยกเว้นค่าธรรมเนียม 6 ประเภท ซึ่งเป็นมาตรการระหว่างที่แอพพลิเคชั่นมีปัญหาและแก้ไข ทั้ง
1. ค่าธรรมเนียมการถอนหรือโอนเงินผ่านตู้ ATM ยกเว้นค่าธรรมเนียมตามประกาศธนาคาร กรณีมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไปก่อน ธนาคารจะคืนค่าธรรมเนียมในภายหลัง
2. ค่าธรรมเนียมบัตรใหม่ทดแทนบัตรเดิมทุกกรณี ทุกประเภทบัตร
3. ค่าธรรมเนียมการฝากถอนเงินต่างสาขาภายในธนาคารของเงินฝากทุกประเภท
4. ค่าธรรมเนียมการให้บริการโอนเงินรายย่อยระหว่างธนาคาร ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร
5. ค่าธรรมเนียมการออกสมุดบัญชีเล่มใหม่แทนเล่มเก่าทุกกรณี ยกเว้นการขอใบแจ้งความและให้ออกสมุดบัญชีต่างสาขาได้
6. ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี/ปีแรก ของบัตรเดบิตออมสินอินสแตนท์
นอกจากนี้ จากการประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ในกรณีระบบโมบายแบงก์กิ้งของสถาบันการเงินขัดข้องนานเกินที่กำหนด ได้กำหนดไว้ว่าระบบโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารจะขัดข้อง หรือล่มได้ไม่เกิน 8 ชั่วโมงภายใน 1 ปี คือการล่มต้องหยุดชะงัก แต่ถ้าหากล่มนานเกิน 8 ชั่วโมงต่อปี จะมีบทลงโทษตามระดับความรุนแรงเริ่มจากตักเตือน สั่งให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข จนโทษสูงสุดคือโทษปรับสูงสุด 500,000 บาทต่อครั้ง และหากไม่ดำเนินการแก้ไขจะปรับเพิ่ม 5,000 บาทต่อวัน โดยประกาศนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการจัดทำประกาศออกมาในช่วงปี 2566
ทั้งนี้จากการติดตามของสภาผู้บริโภคภายหลังเกิดเหตุแอปพลิเคชันของธนาคารกรุงเทพ ประสบปัญหาเงินในบัญชีที่ถูกโอนออกไปตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนที่สภาผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง มาจากผู้บริโภคตรวจสอบพบว่า ยอดเงินที่โอนคืนกลับมายังไม่ครบถ้วนแต่อย่างใด
สำหรับผู้บริโภคที่กำลังได้รับผลกระทบสามารถเข้ามาร้องเรียนกับสภาผู้บริโภคที่เบอร์ 1502 หรือออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th/complaint รวมถึงสามารถติดต่อธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสอบถามข้อมูลทั่วไป หรือแจ้งปัญหาการใช้บริการทางการเงิน ผ่านหมายเลข 1213
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง