Ride Sharing: ชวนส่องกฎหมาย ‘เรียกรถผ่านแอปฯ’ ปลอดภัยมากขึ้น!

Ride Sharing: ชวนส่องกฎหมาย ‘เรียกรถผ่านแอปฯ’ ปลอดภัยมากขึ้น!

ทุกวันนี้หลายคนคงคุ้นเคยกับการเรียกรถผ่านแอปฯ เพราะสะดวกและรวดเร็ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าปัญหาที่ผู้โดยสารเจอยังมีอยู่ไม่น้อย บางคนโดนคิดเงินเกิน เจอคนขับพาอ้อม พาขึ้นทางด่วนโดยไม่ถาม หรือเจอพฤติกรรมที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และเมื่อพยายามติดต่อแพลตฟอร์มเพื่อขอความช่วยเหลือ บางครั้งก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ทำให้หลายคนยังไม่มั่นใจเต็มร้อยเวลาจะเรียกรถ แถมในบางครั้งยังถูกละเมิดสิทธิในฐานะผู้บริโภคอีกด้วย

ในอีกแง่มุมหนึ่ง ‘บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ประเภทบริการรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยสารสาธารณะ’ หรือกฎหมาย ‘Ride Sharing’ ในประเทศไทยกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยหลังยุคโควิด-19 คนหันมาเรียกรถผ่านแอปฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่าปี 2568 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 45,000 ล้านบาท และภายในปี 2572 อาจมีผู้ใช้งานแตะ 15 ล้านคน ตัวเลขที่มากขึ้นอาจมาพร้อมปัญหาถ้าภาครัฐไม่รีบยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบการให้บริการ

สภาผู้บริโภคจึงอยากชวนทุกคนมารู้จัก กฎหมายใหม่ที่จะช่วยยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัยของบริการเรียกรถผ่านแอปฯ กัน

กฎหมาย ‘Ride Sharing’ คืออะไร

กฎหมาย Ride Sharing หรือเรียกชื่อเต็ม ๆ ว่า ประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) เรื่อง การดำเนินการอื่นสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ประเภทบริการรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์รับจ้างโดยสารสาธารณะ ที่มีลักษณะเฉพาะตามมาตรา 18 (3) ภายใต้ พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (DPS) เป็นประกาศของคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (คธอ.) ที่เปลี่ยนบทบาทให้แพลตฟอร์มไม่ใช่แค่ตัวกลาง แต่มีหน้าที่ในการกำกับและควบคุมการให้บริการเพื่อให้ปลอดภัย โปร่งใส น่า เชื่อถือ และเป็นธรรมกับผู้บริโภครวมถึงไรเดอร์มากขึ้น โดยกฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2568

แพลตฟอร์มไม่ใช่แค่ ‘คนกลาง’

กฎหมาย Ride Sharing กำหนดให้แพลตฟอร์มมีหน้าที่ทั้งในด้านการตรวจสอบข้อมูล จัดระบบ แสดงข้อมูลที่จำเป็นให้ผู้บริโภคทราบเพื่อประกอบการตัดสินใจ รวมถึงการมีช่องทางช่วยเหลือฉุกเฉินและระบบร้องเรียนที่เป็นธรรม โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • คนขับและรถต้องถูกกฎหมาย: ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทั้งคนขับและรถยนต์ที่ให้บริการมีใบอนุญาตและจดทะเบียนถูกต้อง
  • ยืนยันตัวตนชัดเจน: ต้องมีระบบยืนยันตัวตนทั้งคนขับและผู้โดยสาร เช่น การใช้ Digital ID
  • ให้ข้อมูลเพียงพอ: ต้องแสดงข้อมูลสำคัญให้ผู้โดยสารเห็นล่วงหน้า เช่น ชื่อ-รูปคนขับ, ข้อมูลรถ และรายละเอียดค่าโดยสาร
  • สิทธิของคนขับ: คนขับสามารถเลือก/ยกเลิกงาน หรือยอมรับการเปลี่ยนจุดหมายได้เอง
  • มีระบบช่วยเหลือ: ต้องมีช่องทางแจ้งเหตุฉุกเฉินและระบบร้องเรียนที่เป็นธรรม
  • ส่งรายงานข้อมูล: ต้องส่งข้อมูลการดำเนินงานให้กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) อย่างต่อเนื่อง

ไรเดอร์ต้องปรับตัว

ถึงแม้ประกาศนี้จะมุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์ม แต่ไรเดอร์ก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน ทั้งเรื่องการใช้รถที่จดทะเบียนเป็นรถสาธารณะ มีใบขับขี่สาธารณะที่ถูกต้อง ยืนยันตัวตนทุกครั้งก่อนให้บริการ และต้องขับอย่างถูกกฎจราจร ห้ามใช้บัญชีสวมรอยหรือรับงานนอกระบบ เพราะเสี่ยงถูกปิดบัญชีหรือมีโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้ กฎหมายฉบับนี้ก็เป็นผลดีต่อไรเดอร์ด้วยเหมือนกัน เพราะคนขับจะได้ทำงานในระบบที่โปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น มีสิทธิเลือกงานได้ มีช่องทางช่วยเหลือเวลามีปัญหา และสร้างความน่าเชื่อถือกับผู้โดยสาร ซึ่งก็หมายถึงโอกาสสร้างรายได้ที่มั่นคงขึ้นด้วย

ผู้บริโภคได้ประโยชน์

สำหรับผู้โดยสารเอง การมีกฎหมายไรด์แชริ่งก็ช่วยให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ไม่ต้องกลัวโดนโกงราคา เพราะเห็นค่าโดยสารชัดเจนตั้งแต่แรก ได้ใช้บริการจากรถและคนขับที่ถูกกฎหมาย และเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถร้องเรียนได้ และมั่นใจได้ว่าแพลตฟอร์มจะไม่อ้างว่า “ไม่มีอำนาจจัดการคนขับ” ได้อีกต่อไป ถือเป็นการยกระดับบริการเรียกรถผ่านแอปฯ ในไทยให้ปลอดภัยและน่าใช้มากขึ้นทั้งสองฝ่าย

สำหรับผู้บริโภคที่เคยเจอปัญหาเรียกรถผ่านแอปฯ ไม่ว่าจะถูกคิดเงินเกิน เจอคนขับพฤติกรรมไม่ดี หรือบริการไม่ตรงปก ปรึกษา – ร้องเรียนกับ สภาผู้บริโภค ได้ที่เบอร์ 1502 หรือ www.tcc.or.th หรือทุกช่องทางออนไลน์ของสภาผู้บริโภค เพื่อช่วยกันผลักดันให้ระบบดีขึ้นสำหรับทุกคน


กฎหมาย Ride Sharing พลิกโฉมธุรกิจ 4.5 หมื่นล้านบาท