
ชัยชนะของผู้บริโภค ศาลพิพากษายกฟ้องผู้บริโภคที่โพสต์ เตือนภัยบ้านไม่ตรงปก สภาผู้บริโภคชี้เป็นการใช้สิทธิแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริต
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำตัดสินให้กลุ่มผู้บริโภคและช่างรับเหมาจำนวน 8 คนไม่ต้องรับผิด หลังถูกบริษัทรับผลิตบ้านสำเร็จรูปหรือบ้านน็อกดาวน์ “มินิโฮมตะวันออกโกล์” ฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลเท็จบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยศาลเห็นว่าการแสดงความคิดเห็นและการร้องเรียนของกลุ่มผู้บริโภคเป็นการใช้สิทธิอย่างสุจริตและชอบธรรม เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง
สุรกิจ สิงหะพล เจ้าหน้าที่กฎหมายและคดี สภาผู้บริโภค ระบุว่า คดีนี้เริ่มจากการที่ผู้บริโภคและช่างซึ่งเคยมีปัญหากับบริษัทดังกล่าว ได้รวมกลุ่มกันในแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กและไลน์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเล่าประสบการณ์ที่พบจากการก่อสร้างบ้านน็อกดาวน์ เช่น การส่งมอบบ้านล่าช้า การใช้วัสดุไม่ตรงตามที่ตกลง หรือไม่ได้รับค่าจ้างตามข้อตกลง โดยผู้บริโภคมีการโพสต์ข้อความและภาพประกอบเพื่อเตือนผู้บริโภครายอื่นให้ระวังปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน
ต่อมาบริษัทมินิโฮมตะวันออกโกล์ได้ยื่นฟ้องกลุ่มผู้บริโภคและช่างทั้งหมดที่ เตือนภัยบ้านไม่ตรงปก ในข้อหาหมิ่นประมาทและนำเข้าข้อมูลเท็จตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พร้อมเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นได้พิจารณาว่า การกระทำของกลุ่มผู้บริโภคเป็นการใช้สิทธิร้องเรียนโดยสุจริต เพื่อแสดงออกถึงความไม่เป็นธรรมที่ตนได้รับและไม่ได้มีเจตนาทำลายชื่อเสียงของบริษัท จึงตัดสินให้ไม่ต้องรับผิด
หลังจากนั้นบริษัทฯ ได้ยื่นอุทธรณ์ สภาผู้บริโภคได้ตั้งทนายความเพื่อช่วยเหลือ โดยหลังจากนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้มีคำตัดสินเช่นเดียวกันกับศาลชั้นต้น โดยระบุว่าการรวมกลุ่มของผู้บริโภคเกิดจากความเดือดร้อนจริงเพื่อปรึกษาแก้ไขปัญหา ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) และ (3)
สุรกิจ ย้ำว่า การร้องเรียนหรือแสดงความคิดเห็นของผู้บริโภคเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่กฎหมายคุ้มครอง หากทำโดยสุจริตและมีข้อเท็จจริงรองรับ ไม่ถือเป็นความผิด และเป็นกลไกสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภคให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม ทั้งยังช่วยสร้างวัฒนธรรมการรับผิดชอบร่วมกันระหว่างผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจที่ควรเปิดรับความคิดเห็นของผู้บริโภค และเข้ามาแก้ไขปัญหาหรือการบริการเพื่อให้ธุรกิจของตนเป็นที่ยอมรับ
“ผู้บริโภคมีสิทธิในการร้องเรียน แสดงความคิดเห็น และเตือนภัยได้ หากทำด้วยความสุจริตและมีข้อมูลจริงรองรับ ซึ่งการกระทำในลักษณะข้างต้นไม่ใช่การหมิ่นประมาท แต่เป็นการใช้สิทธิปกป้องตนเองและสังคม” สุรกิจ กล่าวย้ำและว่า คดีลักษณะนี้อาจเข้าข่ายการฟ้องร้องเพื่อปิดปาก หรือ สแล็บ (SLAPP) ซึ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกกลัวที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิของตนเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงผู้ประกอบธุรกิจควรเปิดใจรับฟังเสียงของลูกค้ามากกว่าจะใช้การฟ้องร้องเป็นเครื่องมือกดดันผู้บริโภค
ทั้งนี้ หากผู้บริโภคถูกฟ้องร้องจากการร้องเรียนหรือแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต สามารถขอรับคำปรึกษาทางกฎหมายหรือขอความช่วยเหลือทางคดีกับสภาผู้บริโภค ผ่านเบอร์สายด่วน โทร. 1502 หรือ เว็บไซต์สภาผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก” หรือ แอนตี้ สแล็บ ลอร์ (Anti-SLAPP Law) แต่มีกลไกบางอย่างที่นำมาใช้ป้องกัน สแล็บ และหลายหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมุ่งดำเนินการเฉพาะคดีทุจริต แต่ไม่ได้รวมถึงกรณีผู้บริโภคถูกฟ้องปิดปาก