
สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้วุฒิสภาเร่งพิจารณาและ หนุน พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพื่อประชาชน พ.ศ. … ให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา หลังมีความกังวลว่า หากกระบวนการพิจารณาล่าช้า ร่างกฎหมายฉบับนี้อาจต้องตกไป ซึ่งจะเป็นการถอยหลังครั้งสำคัญในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศของประเทศไทย
ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดเพื่อประชาชน ซึ่งผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภา มีข้อกังวลจากหลายฝ่ายว่า กระบวนการดังกล่าวอาจไม่แล้วเสร็จทันก่อนการยุบสภา ส่งผลให้ร่างกฎหมายต้องเริ่มต้นกระบวนการใหม่ทั้งหมด สภาผู้บริโภคเรียกร้องให้วุฒิสภาเร่งผลักดันให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เดินหน้าต่อ เพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการมีอากาศบริสุทธิ์ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เสนอให้วุฒิสภาเร่งเดินหน้ากระบวนการจัดทำร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดเพื่อประชาชน พ.ศ. … ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค ซึ่งมีสิทธิที่จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี (Rights to Healthy Environment) ตามหลักสิทธิผู้บริโภคสากล และประเทศไทยได้รับรองพันธะกรณีนี้กับสหประชาชาติแล้ว เพราะฉะนั้น รัฐต้องรับผิดชอบในการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ให้เกิดขึ้นจริง
ที่ผ่านมามีกรณีที่ผู้บริโภคในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ได้ใช้สิทธิทางกฎหมายในการฟ้องร้องรัฐบาลจากกรณีมลพิษทางอากาศ PM2.5 และศาลได้ตัดสินให้รัฐบาลต้องจัดทำแผนแก้ไขภายใน 90 วัน ถือเป็นก้าวสำคัญของการใช้สิทธิผู้บริโภคในประเด็นสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคได้สนับสนุนให้ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด บรรจุหลักการ “ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย (Polluter Pays Principle)” เพื่อให้เกิดกลไกความรับผิดทางกฎหมายต่อผู้ที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เช่น การเผาไร่ข้าวโพดในภาคเหนือ หรือโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยอากาศพิษเกินมาตรฐาน
“ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดความรับผิดชัดเจนต่อการก่อมลพิษสิ่งแวดล้อม การมีกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ผู้ที่สร้างปัญหาต้องร่วมรับผิดชอบ ทั้งในเชิงค่าใช้จ่ายและการเยียวยาผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน” สารี กล่าว
นอกจากนี้ สภาผู้บริโภคยังได้เสนอให้เพิ่ม “สิทธิในการบริโภคที่ยั่งยืนและการดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 สิทธิผู้บริโภคใหม่ ที่จะถูกบรรจุใน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคฉบับปรับปรุงใหม่ เพื่อให้สิทธิด้านสิ่งแวดล้อมถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในกฎหมายหลักของประเทศ
ปัญหามลพิษทางอากาศไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของประเทศไทยเท่านั้น หลายประเทศทั่วโลกต่างเผชิญและผลักดันสิทธิในอากาศสะอาดให้เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เช่น ในปี 2562 ผู้บริโภคชาวอินโดนีเซีย 32 คนในกรุงจาการ์ตา ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลจากการจัดการมลพิษทางอากาศล้มเหลว จนศาลมีคำสั่งให้รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการปรับปรุงคุณภาพอากาศ ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกกฎหมายใหม่ให้ประชาชนสามารถฟ้องรัฐบาลได้ หากค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน รวมถึงกำหนดบทลงโทษทางการเงินแก่ประเทศที่ไม่ปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้สิทธิของตนเองตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการร้องเรียน หากได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศ รวมถึงการยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐหากละเลยต่อหน้าที่ โดยศาลไทยได้ให้ความสำคัญกับสิทธินี้มากขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ภาคประชาชนและเครือข่ายผู้บริโภคยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด มีเป้าหมายเพื่อสร้างกลไกความรับผิดร่วมอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เพื่อลงโทษภาคธุรกิจ แต่เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมรับผิดชอบในการรักษาสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
“การฟ้องร้องไม่ใช่การต่อสู้กับรัฐ แต่คือการเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และทำให้ปัญหามลพิษทางอากาศได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน” สารี กล่าว



