Ribbon

ช็อก! ซื้อซิมใหม่แต่เบอร์เก่า ผูกพร้อมเพย์เจ้าของเดิม ปัญหาตามมาเพียบ

ช็อก! ซื้อซิมใหม่แต่เบอร์เก่า ผูกพร้อมเพย์เจ้าของเดิม ปัญหาตามมาเพียบ

“ไม่เคยคิดเลยว่า การซื้อเบอร์โทรศัพท์ใหม่ จะนำมาซึ่งปัญหาขนาดนี้” เสียงสะท้อนจากคุณแอน ผู้ประกอบการธุรกิจที่พบปัญหาจากการซื้อเบอร์รีไซเคิล

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ คุณแอน เจ้าของธุรกิจบริการรับจ้างแพ็คสินค้าที่กำลังเติบโต ตัดสินใจซื้อโทรศัพท์มือถือพร้อมซิมการ์ดแบบรายเดือน เพื่อใช้สำหรับติดต่อประสานงานกับบริษัทขนส่งและลูกค้าจำนวนมากโดยเฉพาะ

เบอร์โทรศัพท์นี้ถูกใช้งานอย่างราบรื่นมานานกว่า 8 เดือน โดยไม่มีปัญหาใด ๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีลูกค้าโทรเข้ามาแจ้งเธอว่าได้โอนเงินผิดพลาดผ่านระบบพร้อมเพย์ เป็นจำนวนเงินประมาณ 500 บาท เข้ามายังเบอร์โทรศัพท์เครื่องใหม่นี้ สาเหตุเกิดจากลูกค้าคัดลอกเบอร์โทรศัพท์ผิดขณะกำลังจะชำระเงิน

เธอรู้สึกประหลาดใจ เพราะเธอไม่เคยนำเบอร์โทรศัพท์นี้ไปผูกกับบัญชีธนาคารหรือใช้งานด้านการเงินใด ๆ เลย เพราะตั้งใจใช้เพื่อการติดต่องานอย่างเดียวเท่านั้น

ค่ายมือถือปัดความรับผิดชอบ

เมื่อเกิดเหตุ เธอไม่รอช้า รีบโทรไปหาค่ายมือถือทันที และได้รับคำตอบที่น่าประหลาดใจว่า เบอร์โทรศัพท์นี้คือ “เบอร์รีไซเคิล” หมายเลขที่เธอซื้อไปนั้น เคยมีเจ้าของเดิมใช้งานมาก่อน และที่สำคัญคือการผูกบัญชีพร้อมเพย์ของเจ้าของเก่ายังคงค้างอยู่ในระบบ

เมื่อเธอพยายามสอบถามถึงการติดต่อเจ้าของบัญชีเก่าเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ค่ายมือถือกลับปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล และแจ้งว่าเธอต้องไปติดต่อธนาคารเอง ตัวเธอเองมองว่าเป็นการโยนภาระทั้งหมดมาให้ผู้บริโภค และตัดสินใจติดต่อ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่เธอใช้บริการอยู่ แต่เนื่องจากการโอนเงินผิดนั้นมาในรูปแบบของพร้อมเพย์ และเธอไม่ใช่ผู้โอนเงินผิดโดยตรง ธนาคารจึงไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลบัญชีปลายทางได้ทันที

เพื่อหาทางออก ธนาคารจึงแนะนำให้เธอ ลองโอนเงินเข้าไปในเบอร์นั้น 1 บาท เพื่อให้ระบบสามารถตรวจสอบบัญชีปลายทางได้ เมื่อดำเนินการตามคำแนะนำ และสุดท้ายจึงทราบว่าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเบอร์โทรศัพท์นั้นเป็นของธนาคารกสิกรไทยเช่นเดียวกัน

เนื่องจากเธอคือผู้ถือครองกรรมสิทธิ์เบอร์โทรศัพท์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เธอจึงสามารถนำหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของเบอร์ไปยื่นเรื่องต่อธนาคารได้ทันที และในที่สุดธนาคารกสิกรไทยก็ดำเนินการยกเลิกการผูกพร้อมเพย์ออกจากชื่อของเจ้าของเบอร์คนเก่าให้สำเร็จ

ลูกค้าเลือกปล่อยเงินไป เพราะ “ขั้นตอนมันเยอะเกินเงิน 500 บาท”

แต่ในส่วนของเงิน 500 บาทที่ลูกค้าโอนผิดมานั้น ลูกค้าจะต้องเป็นผู้ติดต่อธนาคารและแจ้งความเพื่อขอเงินคืนด้วยตนเอง ทว่าลูกค้าเลือกที่จะไม่ดำเนินการต่อ เพราะขั้นตอนการติดต่อธนาคาร การแจ้งความ และการรอให้เจ้าของบัญชีเก่าโอนเงินคืนนั้น ยุ่งยาก เสียเวลา และมีค่าใช้จ่ายมากกว่ายอดเงินที่เสียไป เรื่องนี้จึงเห็นว่าไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินการ และได้สะท้อนช่องโหว่ของระบบเบอร์โทรศัพท์รีไซเคิล ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้แก่เจ้าของเบอร์คนใหม่โดยไม่ตั้งใจ

จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น เธอไม่ได้มองเหตุการณ์นี้ว่าเป็นเพียงปัญหาเฉพาะหน้าที่แก้แล้วจบ แต่กลับมองเห็นความเสี่ยงร้ายแรง ที่อาจตามมาหากเบอร์รีไซเคิลยังถูกใช้อยู่แบบไร้มาตรฐาน เธอชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคอย่างเธออาจต้องเผชิญผลกระทบที่หนักหนากว่าที่คิด

หนึ่งในความกังวลสำคัญคือ การตกเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว หากเบอร์รีไซเคิลที่ได้รับไปนั้นเคยถูกใช้โดยมิจฉาชีพในธุรกรรมผิดกฎหมาย ผู้ที่ถือครองเบอร์ในปัจจุบันอย่างเธอ อาจต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย หรือต้องเผชิญปัญหาทางกฎหมายแบบไม่ทันตั้งตัว

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงมีข้อเรียกร้องที่ชัดเจนต่อค่ายมือถือ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดซ้ำกับผู้บริโภครายใหม่ เธอเสนอให้ยุติการขายเบอร์รีไซเคิล หรือเปลี่ยนไปขายเบอร์ใหม่ทั้งหมด หากจำเป็นต้องขายเบอร์เก่า ควรมีขั้นตอน “ล้างข้อมูลผู้ใช้เดิมให้หมด” ก่อนเปิดจำหน่าย และอย่างน้อยที่สุด ต้องตรวจสอบกับธนาคารให้แน่ชัดว่าเบอร์ดังกล่าวไม่มีการผูกพร้อมเพย์ค้างอยู่ ก่อนนำเสนอให้ลูกค้าเลือกซื้อ

ในระหว่างที่ปัญหาเชิงระบบยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน เธอจึงฝากคำแนะนำสำคัญเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคป้องกันตนเองจากความเสี่ยงของเบอร์รีไซเคิล เธอย้ำว่า “ก่อนตัดสินใจซื้อเบอร์โทรศัพท์ใหม่ ควรลองนำเบอร์นั้นไปตรวจสอบในแอปธนาคารก่อนเสมอ เพื่อเช็กว่าเบอร์นั้นผูกพร้อมเพย์กับใครอยู่ หากพบว่าติดชื่อคนอื่นอยู่ ก็ไม่ควรเลือกซื้อโดยเด็ดขาด” คำแนะนำเรียบง่ายแต่สำคัญนี้ อาจช่วยป้องกันปัญหาที่ยุ่งยากในอนาคตได้มากกว่าที่คิด

แนวทางจัดการปัญหาจากสภาผู้บริโภค

ด้าน ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค ได้สรุปแนวทางการจัดการปัญหาเบอร์รีไซเคิลออกเป็น 2 ทาง คือ การช่วยเหลือเฉพาะหน้าแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ และ การผลักดันมาตรการเชิงนโยบายในอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

ในส่วนของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับผู้บริโภคที่พบเหตุการณ์แบบเดียวกัน สภาผู้บริโภคแนะนำให้เริ่มจากการจัดการเรื่อง “เงินที่ถูกโอนผิดบัญชี” ซึ่งผู้เสียหายควรทวงถามเงินคืนจากเจ้าของบัญชีเดิมให้ชัดเจน หากถูกปฏิเสธหรือไม่ยอมคืน ถือว่าเข้าข่าย “ยักยอก” และผู้บริโภคควรไปแจ้งความหรือบันทึกประจำวัน เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เบอร์โทรศัพท์นั้นจริง

นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบยังสามารถร้องเรียนมายังสภาผู้บริโภคได้ โดยนำหลักฐานการแจ้งความมาให้ทางสภาผู้บริโภคจะทำหนังสือไปยังธนาคาร เพื่อให้ประสานกับเจ้าของบัญชีเดิมและจัดการเรื่องเงินที่โอนผิด รวมถึงอาจมีช่องทางที่ผู้บริโภคสามารถฟ้องธนาคารให้ร่วมรับผิดได้ด้วย สำคัญที่สุดคือ ผู้บริโภคเช่นคุณแอนถือเป็น “ผู้เสียหาย” จากการที่เบอร์ที่ตนครอบครองกลับยังผูกกับบัญชีธนาคารของผู้อื่น

ขณะเดียวกัน สภาผู้บริโภคยังเตรียมดำเนินงานเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหานี้ตั้งแต่ต้นทาง โดยจะประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งดูแลระบบเบอร์โทรศัพท์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งดูแลระบบธนาคาร เพื่อให้รับทราบปัญหาและร่วมกันพิจารณามาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในอนาคต