Ribbon

ภาพจริงจากน้ำท่วมภาคใต้ “น้ำมา สัญญาณหาย ความช่วยเหลือชะงัก”

อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เข้ามาสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงเกินคาดต่อประชาชนในพื้นที่ภาคใต้กว่า 7 จังหวัดในสัปดาห์นี้ สะท้อนถึงปัญหาเชิงระบบที่ถูกซ่อนไว้ในโครงสร้างการรับมือภัยพิบัติของไทย ซึ่งรวมถึงระบบเตือนภัยและการสื่อสารฉุกเฉินที่ควรทำงานในช่วงนาทีสำคัญ กลับทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในพื้นที่จริง ประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับข้อความเตือน หลายพื้นที่สัญญาณโทรศัพท์ขัดข้อง และผู้คนติดค้างอยู่ในบ้านโดยไม่สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันเวลา

ภาพจริงจากน้ำท่วมภาคใต้ ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงน้ำที่ไหลเข้าพื้นที่อย่างรวดเร็ว แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าระบบที่ควรปกป้องชีวิตผู้คนยังมีส่วนที่ต้องเร่งปรับปรุงให้ทันกับสภาพภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี

สำหรับพื้นที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้ประสบกับภาวะน้ำได้ไหลเข้าท่วมในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จุฑา สังขชาติ หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดสงขลา สภาผู้บริโภค กล่าวว่า สำนักงานของ
หน่วยงานฯ จะอยู่ในพื้นที่ที่ปกติไม่ท่วมมากนัก แต่ครั้งนี้น้ำกลับทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็วมาก ขณะที่ชุมชนที่คุ้นชินกับน้ำท่วมประจำปีต่างประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะคิดว่าคงไม่หนักไปกว่าปีก่อน ๆ แต่ครั้งนี้ระดับน้ำพุ่งสูงถึง 1.5 – 2 เมตร ทำให้คนทั้งซอยต้องหนีขึ้นไปอยู่บนชั้นสองของบ้าน

“เมื่อคืนแทบไม่ได้นอน น้ำขึ้นตลอดเวลา เหลือแค่ราว ๆ ครึ่งเมตรก็จะถึงพื้นชั้นสองแล้ว” จุฑา ระบุว่าคืนก่อนวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ประชาชนต้องเฝ้าดูระดับน้ำอย่างหวาดหวั่น โดยไม่มีข้อมูลจากภายนอกช่วยประกอบการตัดสินใจ ทั้งนี้ก่อนเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีข้อความเตือนภัยถูกส่งออกไปหลายระลอก แต่กลับมีประชาชนจำนวนมากไม่ได้รับข้อความ หรือได้รับไม่ตรงเวลา

“บางคนได้ บางคนไม่ได้ พี่เองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้รับแจ้งเตือนรอบแรก การแจ้งเตือนมันเป็นภาพรวม เราไม่รู้เลยว่าพื้นที่ที่เราอยู่ต้องอพยพมั้ย” จุฑา อธิบาย พร้อมระบุว่า ข้อความที่ไม่เจาะจงพื้นที่ ทำให้หลายครอบครัวไม่แน่ใจว่าบ้านของตนอยู่ในเขตเสี่ยงหรือไม่ จึงเลือกอยู่ที่บ้านจนกระทั่งน้ำเริ่มล้นเข้ามา

ขณะเดียวกันสถานการณ์เลวร้ายลงเมื่อไฟฟ้าในหลายพื้นที่ดับ ทำให้เสาสัญญาณโทรศัพท์ทำงานได้ไม่เต็มที่ ผู้คนจำนวนมากติดต่อกันไม่ได้ โทรหาหน่วยกู้ภัยไม่ติด และไม่สามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้ “มันเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งที่ความช่วยเหลืออาจอยู่ไม่ไกล แต่เราเรียกไม่ได้เลย” จุฑาเล่าถึงช่วงเวลาที่สัญญาณการสื่อสารหายไปพร้อมกับความหวังของหลายครัวเรือน

ด้านการยังชีพ ร้านค้าหลายแห่งต้องปิดจากระดับน้ำที่สูง ของใช้จำเป็นและอาหารเริ่มขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวที่หาเช้ากินค่ำและไม่ได้มีโอกาสตุนของไว้ล่วงหน้า การไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ยิ่งทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นไปได้ยากขึ้น

ขณะเดียวกันแม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินผ่านโทรศัพท์มือถือแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการผลักดันเชิงนโยบายร่วมกันหลายฝ่าย รวมถึงการเรียกร้องจากสภาผู้บริโภคเพื่ออุดช่องโหว่จากเหตุการณ์ฉุกเฉินหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่กรณีกราดยิง จนเหตุน้ำท่วมใหญ่หลายรอบ แต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้กลับสะท้อนชัดว่าระบบยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม ทั้งด้านความแม่นยำของพื้นที่แจ้งเตือน ความสม่ำเสมอของการส่งข้อความ และความทนทานของโครงสร้างสัญญาณในภาวะไฟฟ้าดับ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยเมื่อมีน้ำท่วมขนาดใหญ่

นอกจากนี้ หลังเกิดเสียงร้องเรียนจากพื้นที่ รัฐบาลโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เร่งส่งรถโมบายเพิ่มสัญญาณ เปิดพื้นที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตฟรี ใช้อุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม และจัดทีมซ่อมบำรุงตลอดทั้งวัน ความพยายามเหล่านี้ช่วยบรรเทาสถานการณ์ในช่วงหลัง แต่สะท้อนความจำเป็นของระบบที่ต้องพร้อมก่อนเหตุจะทวีความรุนแรง เพื่อให้ประชาชนมีเวลามากพอในการเตรียมตัวและอพยพอย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ประสบการณ์จากพื้นที่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างด้านการจัดการและการสื่อสาร จุฑา สรุปภาพรวมว่า “การจัดระบบมันไม่ดี การสื่อสารแย่มาก มันไม่มีการสื่อสารที่ไปในทิศทางเดียวกันเลย สุดท้ายประชาชนต้องช่วยตัวเอง ตามกำลังของแต่ละคน” ซึ่งคำพูดนี้ไม่ได้ชี้โทษใครเป็นรายฝ่าย แต่ชี้ให้เห็รช่องว่างที่ยังต้องเติมเต็ม เพื่อให้ทั้งระบบทำงานได้สอดคล้องกันมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากวิกฤตของอุทกภัยใหญ่ครั้งนี้สะท้อนถึงการรับมือภัยพิบัติจำเป็นต้องพึ่งทั้งระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ โครงสร้างสื่อสารที่ทนทาน และการสื่อสารที่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงาน ซึ่งทุกหน่วยงานต่างพยายามแก้ไขและทำงานเต็มกำลังภายใต้ข้อจำกัดที่เผชิญ แต่ประสบการณ์จากพื้นที่สะท้อนว่าระบบยังมีหลายส่วนที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้พร้อมรับเหตุการณ์ในอนาคต เนื่องจากเมื่อสภาพอากาศมีความผันผวนมากขึ้น ความชัดเจน ความทันเวลา และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนจะยิ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความสูญเสียและช่วยให้ทุกครอบครัวปลอดภัยกว่าเดิม

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง