Ribbon

รัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาน้ำท่วม ผู้บริโภคชี้ขั้นตอนยุ่งยาก

อุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายพื้นที่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้สร้างความเสียหายอย่างหนัก สภาพที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านหลายรายกล่าวตรงกันว่าปีนี้ไม่เหมือนทุกปี ทั้งความเร็ว ความแรง และความสูงของระดับน้ำที่เกินความคาดหมาย ผลกระทบไม่เพียงกระทบที่อยู่อาศัย แต่ลุกลามไปถึงรายได้ อาชีพ และภาระหนี้สิน ผู้ค้ารายย่อยต้องหยุดขาย ร้านอาหารและร้านบริการเสียหายเกือบทั้งหมด เกษตรกรต้องทิ้งผลผลิต รวมถึงโรงงานและธุรกิจจำนวนมากถูกน้ำท่วม

ทั้งนี้ในปัจจุบันแม้น้ำจะลดลงในบางพื้นที่ แต่ความเดือดร้อนยังไม่จบ เพราะประชาชนต้องเผชิญกับหนี้ท่วม และค่าใช้จ่ายฟื้นฟูบ้านที่สูงกว่าศักยภาพของหลายครอบครัว

จากผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ ประชาชนกว่า 74.5% ระบุว่า เงินใช้จ่ายรายวัน คือสิ่งที่ต้องการเร่งด่วนที่สุด ขณะที่กว่า 67% ต้องการมาตรการพักหนี้ เพราะรายได้หยุดทันที แต่ภาระผ่อนชำระยังคงเดินตามปกติ ท่ามกลางความเสียหายที่ลึกกว่าที่เห็นบนพื้นถนน ประชาชนจำนวนมากกลับยังเข้าไม่ถึงมาตรการช่วยเหลือ เนื่องจากความสับสนขั้นตอน การขาดเอกสารเพราะถูกน้ำพัดหาย สัญญาณอินเทอร์เน็ตล่ม หรือการที่หน่วยงานท้องถิ่นยังไม่ได้รับหนังสือคำสั่งที่ชัดเจนจากส่วนกลาง

หนึ่งในเสียงจากพื้นที่หาดใหญ่สะท้อนปัญหาสำคัญว่า “สอบถามเทศบาลหลายแห่งยังต้องใช้เอกสาร แม้อธิบดีจะบอกในรายการข่าวว่าไม่ต้องใช้ แต่เพราะไม่มีหนังสืออย่างเป็นทางการลงมา เจ้าหน้าที่ก็ไม่กล้าดำเนินการ อยากให้ส่วนกลางแจ้งชัดเจนเพื่อให้ท้องถิ่นทำงานได้” ซึ่งความคลุมเครือนี้ทำให้ประชาชนกังวลว่าอาจตกหล่นสิทธิ ทั้งที่ได้รับผลกระทบจริง ต่อมาเทศบาลนครหาดใหญ่แจ้งว่า การรับเงินเยียวยา 9,000 บาทสามารถทำได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ การลงทะเบียนออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นเอกสาร และการยื่นด้วยตนเองโดยใช้บัตรประชาชนเท่านั้น ถือเป็นความคืบหน้าที่ช่วยคลายปัญหา แต่ยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่หรือทุกกลุ่มประชาชน

ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนต่อสิทธิและความช่วยเหลือที่มีอยู่ในปัจจุบัน สภาผู้บริโภคจึงขอรวบรวม มาตรการเยียวยาล่าสุดแบบครบถ้วนที่สุด แบ่งออกเป็นหมวดสำคัญ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบสิทธิได้อย่างเป็นระบบ

กลุ่มที่ 1 มาตรการเยียวยาเฉพาะหน้าของรัฐ

หนึ่งในมาตรการสำคัญคือเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาทจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งให้แก่บ้านที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถอาศัยได้ตามปกติ การรับสิทธิสามารถทำได้ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ การลงทะเบียนออนไลน์ที่ถือว่าสะดวกและรวดเร็วที่สุด และการยื่นด้วยตนเองโดยใช้เพียงบัตรประชาชน

นอกจากเงินก้อนพื้นฐานแล้ว ยังมีเงินเยียวยาแบบขั้นบันได ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนวันท่วมบ้าน เช่น หากน้ำท่วม 31 – 60 วัน เพิ่มอีก 5,000 บาท หรือหากน้ำท่วม 61 – 90 วัน เพิ่มอีก 10,000 บาท และหากท่วม 91 – 120 วัน ได้รับเงินเพิ่มอีก 15,000 บาท และสุดท้ายหากท่วมเกิน 121 วัน ได้รับเงินเพิ่มอีก 20,000 บาท ทำให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนักมีสิทธิรับเงินสูงสุดได้ถึง 29,000 บาทตามเงื่อนไขของ ปภ.

ขั้นตอนลงทะเบียนสามารถทำได้ทั้งออนไลน์ เช่น flood68.disaster.go.th หรือยื่นเอกสารผ่าน อบต. – เทศบาล – อำเภอ โดยรัฐแนะนำให้เตรียมบัตรประชาชนไว้ประกอบการยืนยันตัวตน

กลุ่มที่ 2 มาตรการบรรเทาภาระหนี้และสินเชื่อฟื้นฟู

เพื่อให้ผู้ประสบภัยกลับมาตั้งหลักได้เร็วที่สุด รัฐและสถาบันการเงินได้ร่วมประกาศมาตรการบรรเทาภาระหนี้หลายส่วน เช่น

  • พักชำระต้น – ดอกเบี้ย 1 ปี สำหรับหนี้วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท ครอบคลุมสินเชื่อบ้าน รถ และสินเชื่อส่วนบุคคลทุกประเภท
  • สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อยังชีพและประกอบอาชีพ วงเงิน 100,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ผ่อนชำระ 3 ปี เหมาะสำหรับผู้ค้ารายย่อยและแรงงานรายวันที่รายได้หายไปทันทีหลังน้ำท่วม
  • สินเชื่อซ่อมบ้าน วงเงิน 100,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ในปีแรก ผ่อนชำระ 3 ปี และให้คนในครอบครัวค้ำประกันแทนได้
  • มาตรการใหม่จาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศผ่อนปรนเกณฑ์ทั้งหมดที่ทำได้ เช่น การผ่อนปรนเกณฑ์จัดชั้นลูกหนี้ เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ไหลไปเป็นหนี้เสีย (NPL) การเปิดให้ธนาคารสามารถลดต้น – ลดดอกเบี้ยได้มากขึ้น หรือการลดภาระการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตจาก 8% เหลือ 0 – 3% ทั้งนี้ ธปท. ได้สั่งการให้สมาคมธนาคารไทยดำเนินมาตรการช่วยเหลือเต็มที่ในจังหวัดที่เสียหายรุนแรง
  • มาตรการเร่งด่วนจากกระทรวงการคลัง เตรียมเสนอเข้า ครม. เศรษฐกิจเพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับ ออกซิเจนทางการเงิน ได้แก่ การพักเงินต้น การพักดอกเบี้ย และการลดดอกเบี้ยเหลือ 0% สำหรับผู้ได้รับผลกระทบใน 9 จังหวัดภาคใต้

กลุ่มที่ 3 การประกันภัยและสิทธิประกันสังคม

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งตรวจสอบสินไหมและลดขั้นตอน เพื่อเร่งจ่ายค่าสินไหมรถยนต์และทรัพย์สินที่เสียหายจากน้ำท่วม ขณะที่ประกันสังคมได้ออกมาตรการสำคัญ เช่น

  1. กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย ผู้ประกันตนมีสิทธิรับเงินชดเชย 50% ของค่าจ้างรายวัน สูงสุด 180 วัน
  2. สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูการจ้างงาน สำหรับนายจ้างและผู้ประกอบการ โดยร่วมกับธนาคาร 7 แห่ง วงเงินรวมโครงการ 30,000 ล้านบาท
  3. กรณีเสียชีวิตในพื้นที่ประกาศภัยพิบัติ ผู้ประกันตนมาตรา 33 และ 39 มีสิทธิรับเงินชดเชยสูงสุด 50,000 บาท หากเป็นกรณีเสียชีวิตในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครอบครัวมีสิทธิรับเพิ่มรวม 2,000,000 บาท

นอกจากนั้นยังได้รับสิทธิค่ารักษาพยาบาล ค่าทดแทนรายได้ และสิทธิตามประเภทของผู้ประกันตนเพิ่มเติมตามที่กำหนด

กลุ่มที่ 4 มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจและผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการและแรงงานได้รับผลกระทบหนักจากการหยุดกิจการหลายวัน รัฐจึงมีมาตรการเสริม ได้แก่ การประเมินความเสียหายเร่งด่วน เงินกู้ฟื้นฟูดอกเบี้ยต่ำ มาตรการภาษีเฉพาะพื้นที่ การสนับสนุนฟื้นฟูผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) หรือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและท่องเที่ยวในอำเภอหาดใหญ่เพื่อลดผลกระทบต่อธุรกิจในพื้นที่

กลุ่มที่ 5 มาตรการล่าสุดจาก สคบ. ช่วยน้ำท่วมภาคใต้

จากผลกระทบที่ทำให้หลายเที่ยวบินต้องปรับตารางหรือยกเลิก ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ประชุมกับ 10 หน่วยงานและสายการบินเพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือ ได้แก่

  • ผู้โดยสารที่ไม่ประสงค์เดินทางระหว่าง 22 พฤศจิกายน – 7 ธันวาคม สามารถเก็บเครดิตการเดินทางหรือเลื่อนการเดินทางได้ภายใน 30 วัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำชับทุกสายการบินให้กำหนดราคาตั๋วไม่เกินเพดาน ขณะที่ปัจจุบันแอร์เอเชียลดเพดานราคาสูงสุดเส้นทางหาดใหญ่จาก 7,200 บาท เหลือ 3,000 บาท ในเดือนธันวาคม ส่วนไทยไลออนแอร์ลด 20% จากเพดาน ส่วนสายการบินอื่นจะมีการปรับราคาในกรอบที่กฎหมายกำหนด ส่วนการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Travel Agency: OTA) กพท. จะควบคุมร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคา         

นอกจากมาตรการข้างต้น สคบ.ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม 3 ด้าน ได้แก่ ได้แก่ ด้านการส่งสินค้า แพลตฟอร์มช้อปปี้ (Shopee) ยกเว้นค่าส่งสินค้าสำหรับปลายทางอำเภอหาดใหญ่ตลอดเดือนธันวาคม 2568 และอยู่ระหว่างพิจารณาลดราคาสินค้าจำเป็นหลายรายการ เช่น อุปกรณ์ซ่อมบ้านและเสื้อผ้า รวมถึงร่วมกับสมาคมอู่กลางฯ ให้ประเมินค่าซ่อมฟรี พร้อมส่วนลดอะไหล่ และกำลังพิจารณาเพิ่มมาตรการลดค่าแรง – ขยายประกันงานซ่อม ด้านธุรกิจเช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ โดยผู้ประกอบธุรกิจเช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์เพื่อออกมาตรการเพิ่มเติมในช่วงฟื้นฟู ไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบในสถานการณ์หลังน้ำท่วม

ล่าสุด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งประสานความร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าและห้างวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ได้แก่ ไทวัสดุ โฮมโปร ดูโฮม โกลบอลเฮ้าส์ และเมกาโฮม ร่วมจัดแคมเปญลดราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูบ้านเรือน โดยลดราคาสูงสุดถึง 80% ระยะเวลา 1 เดือน พร้อมเสริมสต็อกสินค้าและขยายกำลังการกระจายลงสู่ 40 สาขาในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อให้ประชาชนในทุกจังหวัดที่ประสบภัยเข้าถึงสินค้าซ่อมแซมบ้านเรือนอย่างทั่วถึง พร้อมมอบหมายให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดติดตามสถานการณ์ด้านราคา ปริมาณสินค้า และคุณภาพบริการซ่อมแซมอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดการฉวยโอกาสหรือเอาเปรียบประชาชนในช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบ

ช่องทางกฎหมายที่ประชาชนไม่ควรมองข้าม

บทความของบีบีซีไทยอธิบายโดย ทนายความชำนัญ ภักดีสุข ระบุว่า ผู้ประสบภัยสามารถใช้สิทธิฟ้องหน่วยงานรัฐได้ตาม พ.ร.บ.ศาลปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 หากพบว่าหน่วยงานรัฐละเลย ล่าช้า หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย โดยฟ้องได้ 2 ลักษณะ 1. ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเลย 2. ฟ้องให้ศาลสั่งหน่วยงานรัฐ ดำเนินการตามหน้าที่เพื่อป้องกันเหตุในอนาคต เช่น ติดตั้งระบบเตือนภัย ระบบสูบน้ำฉุกเฉิน ขุดลอกรางระบายน้ำ หรือจัดทำระบบสื่อสารให้ประชาชนอพยพได้อย่างปลอดภัย

ทนายความชำนัญ ให้ตัวอย่างเพิ่มเติมว่า การฟ้องประเภทนี้คล้ายกรณีคดีโลกร้อนในเนเธอร์แลนด์ ที่ประชาชนฟ้องให้รัฐออกมาตรการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะรัฐล่าช้าต่อการทำตามพันธกรณีระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นตัวอย่างว่าประชาชนอาจใช้ศาลปกครองเพื่อกำหนดให้รัฐต้องทำตามหน้าที่ได้เช่นกัน แม้ผู้ประสบภัยจะรับเงินเยียวยาไปแล้ว แต่หากไม่ครอบคลุมความเสียหายจริง ก็สามารถฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ โดยศาลจะนำเงินที่ได้รับไปแล้วมาประกอบการพิจารณา

อย่างไรก็ตาม จากผลกระทบทั้งหมด สะท้อนว่าการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องของเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่เป็นความท้าทายระยะยาวของผู้บริโภคหลายหมื่นครัวเรือน ที่ต้องทำความเข้าใจและเข้าถึงสิทธิที่ซับซ้อน รวมถึงเผชิญกับเรื่องการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนและภาระหนี้ที่ยังเดินต่อ ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากยังไม่สามารถตั้งหลักได้ แต่หากภาครัฐสามารถจัดทำให้ขั้นตอนการช่วยเหลือที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว และสอดคล้องกับสถานการณ์จริงจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในช่วงเวลานี้

ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐเร่งจัดทำคำสั่งที่ชัดเจน ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างจริงจัง และเตรียมมาตรการป้องกันล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ความเสียหายซ้ำรอยเดิม ขณะเดียวกัน ประชาชนเองต้องรู้สิทธิของตน ทั้งการเยียวยาและด้านกฎหมาย เพื่อยืนยันความเป็นธรรมในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต อย่างไรก็ตาม แม้น้ำท่วมภาคใต้จะเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่อีกหลายพื้นที่ในภาคกลางยังคงเผชิญน้ำท่วมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งต้องการการแก้ไขและมาตรการช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แม้น้ำท่วมภาคใต้จะเริ่มคลี่คลายลงแล้ว แต่อีกหลายพื้นที่ในภาคกลางยังคงเผชิญน้ำท่วมต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งต้องการการแก้ไขและมาตรการช่วยเหลือที่เฉพาะเจาะจงเช่นเดียวกัน